Blog นี้สร้างมาเพื่อ เป็นสื่อกลางให้ผู้สนใจในการปฏิบัติ ได้มาศึษาหาความรู้ และ แนะนำสถานที่ปฏิบัติให้แก่ผู้สนใจ และ ช่วยนักปฏิบัติผู้กำลังหลงทาง ให้เจอทางออก และ เข้าถึงซึ่งความเป็นจริงของสภาวะ

10 พฤศจิกายน 2564

ผลการปฏิบัติของผม ตามแนวทางของพระอาจารย์ เลิศสิทธิ์


บันทึกเมื่อ พ.ศ.2551


   ผมได้ปฏิบัติกับพระอาจารย์เลิศสิทธิ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นเวลา ๒ ปีที่แล้ว โดยการแนะนำของ น้องโอม แต่ก่อนหน้านั้น ผมก็ปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าผลการปฏิบัติ ไม่คืบหน้าเท่าไหร่ 

   
   เข้าพรรษานี้ก็เลยตัดสินใจถือ ศีล ๕ ให้บริบูรณ์ และไปหาพระอาจารย์ เลิศสิทธิ์ ตามที่น้องโอมแนะนำ ตอนนั้นพระอาจารย์จำพรรษาที่วัด เขาถ้ำพระ จ.ราชบุรี ผมได้ซื้อของและสังฆทานไปถวายพระอาจารย์ด้วย ตอนแรกพระอาจารย์ ก็ งงๆๆ (เรารู้จักกันด้วยเรอะ) ผมก็เลยสาธยายยกใหญ่ จนเป็นที่เข้าใจกัน 


ผมก็เลยกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านวันนั้นเลย  และขอแนวทางการปฏิบัติ




พระอาจารย์ : ท่านถามว่าเราเคยปฏิบัติมายังไง ?

..ผมตอบว่า  ผมปฏิบัติตามแนวทางของ พระครูเกษมธรรมทัต ดู ความ เย็น ร้อน ออ่น แข็ง หย่อน ตึง ภายในร่างกาย



พระอาจารย์ :  ท่านบอกว่า ท่านสอนแนวพองยุบน่ะ ?

..ผมตอบว่า ครับ


พระอาจารย์ : ลองหายใจเข้า ซิ ท้องพองหรือท้องยุบ?

..ผมตอบว่า พอง

..แฟนผมตอบว่า  ยุบ  (ลืมบอกไป ผมไปกับแฟนผม ๒ คน)



พระอาจารย์ : ลองหายใจออก ซิ ท้องพองหรือท้องยุบ?

..ผมตอบว่า  ยุบ

..แฟนผมตอบว่า   พอง



พระอาจารย์ :  ตอบแบบมั่นใจดี และอธิบายต่อว่า ตามธรรมชาติของคนเรา เมื่อมีลมเข้าไปแล้ว ท้องมันก็ต้อง พอง   เมื่อ ผ่อน ลมออกมาแล้ว ท้อง มันก้ต้อง ยุบ  นี่เป็นธรรมชาติน่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆทำไป




พระอาจารย์  ก็ลุกขึ้น และสอนวิธีเดินจงกรมให้ ท่านเดินให้ดู และอธิบายไปด้วย

(หาพื้นที่โล่งๆสัก ๓-๔ เมตร สำหรับเดิน จงกรม เดินจงกรม ก็คือ เดินไปกลับนั่นเอง)


ขั้นที่ ๑. ยืนตรง และมองไปข้างหน้า ไม่สูงไม่ต่ำ  และพูดว่า
  
"..ยืนหนอ ..ยืนหนอ ..ยืนหนอ 3 ครั้ง" "

..อยากเดินหนอ ..อยากเดินหนอ ..อยากเดินหนอ ๓ ครั้ง"

ขั้นที่ ๒. ก้าวเท้าขวาออกไปพร้อมพูดด้วยว่า ขวา ย่าง หนอ พอลงคำว่าหนอ เท้าก็แตะพื้น พอดี  และก้าวเท้าซ้ายออกไป  พร้อมกับพูดว่า ซ้าย ย่าง หนอ พอลงคำว่าหนอ เท้าแตะพื้นพอดี  ทำอย่างนี้ไปสุดทาง 

หยุดยืนพูดว่า "..ยืนหนอ ..ยืนหนอ ..ยืนหนอ"   "

..อยากกลับหนอ ..อยากกลับหนอ .. อยากกลับหนอ"

และพูดว่า ขวากลับหนอ ซ้ายกลับหนอ หันมาด้านข้าง 90 องศา  พูดต่อว่า ขวากลับหนอ ซ้ายกลับหนอ หมุนมาอีก 90 องศา  ก็กลับหลังหัน พอดี  พร้อมเดินกลับ ที่เดิมได้ เดินไปกลับ อย่างนี้ สัก 10 นาที





พระอาจารย์: พูดต่อว่า การปฏิบัตินั้นให้ปฏิบัติเป็นชุดๆ ชุดละ ๒๐ นาที   นั่งสมาธิ ๑๐นาที เดินจงกรม ๑๐ นาที อย่างนี้ เรียกว่า ๑ ชุด  ให้ปฏิบัติอย่างนี้บ่อยๆทุกวัน


เมื่อผมได้รับแนวทางการปฏิบัติจากพระอาจารย์แล้ว ก็เลยขออาจารย์ ปฏิบัติที่วัดตอนนั้นเลย พระอาจารย์ก็อนุญาติ และ ให้เข้าไปปฏิบัติในโบสถ์ ผมกับแฟน ก็ไปนั่งสมาธิสลับเดินจงกรม ประมาณ ๑ ชม.ได้ ก็ได้กราบลาพระอาจารย์กลับ


ก่อนกลับ พระอาจารย์ยังบอกอีกว่า  เราต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ต้องทำเหตุให้ดี  เมื่อเหตุมันดีแล้ว เดี๋ยว ผลมันก็จะตามมาเอง




     ผมขับรถกลับบ้านด้วยความปราบปลื้มใจมาก และดีใจที่ได้มาหาพระอาจารย์ และได้นำแนวทางมาใช้ในการปฏิบัติ และปรับเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติ โดยให้เหมาะสมกับเรา 

ผมสังเกตุตัวเองว่า เวลาเราใช้คำบริกรรมว่า พองหนอ ยุบหนอ มันรู้สึกขัดๆ กับลมหายใจและรู้สึกอึดอัดกับร่างกาย  ก็เลยไม่ใช้คำบริกรรม แต่ใช้การระลึกรู้ เวลาท้องพอง ท้องยุบ แทน  และใช้วิธีเดินจงกรมของพระอาจารย์ที่ผมเพิ่งได้รับการถ่ายทอดมา 

ผมปฏิบัติที่บ้านอยู่ ๓ คืน พอคืนที่ ๓ ตอนนั่งสมาธิอยู่นั้น รู้สึกเหมือนตัวเอง โงกไปแว๊บหนึ่ง(สงสัยตัวเองว่าจะง่วง) ก็เลยลุกขึ้นเดินจงกรม พอเดินจงกรมจนสุดทาง ก็ได้กลิ่นหอม แปลกๆๆ เป็น




   กลิ่นที่เราไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้ที่ไหนมาก่อน เหมือนดอกไม้หอมๆผสมกับผงธูป (เปรียบเทียบน่ะ) เดินจงกรมอยู่ ๓-๔ รอบ เมื่อเดินไปสุดทาง ก็จะได้กลิ่นอย่างนั้นทุกรอบ


พอตื่นตอนเช้าก็มาสำรวจ ตรงนั้นว่ามันหอมอะไร  ก็เดินวนอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไร  เกิดความสงสัย ก็เลยโทรไปหาพระอาจารย์



พระอาจารย์ก็บอกว่า: เราได้ของดีแล้วน่ะ กลิ่นหอมนั้น เป็นกลิ่นของเทวดา ที่เขามาอนุโมทนาบุญด้วย


เวลาคน ที่ได้ผลของการปฏิบัติ จะมีแสงสว่างเกิดขึ้น เหล่าเทวดาทั้งหลายเขาก็จะเห็น และก็จะมายินดีมาอนุโมทนาด้วย




    ผมยิ่งดีใจใหญ่เลย พอขณะทำงานตอนบ่าย รู้สึก ร่างกายตัวเองเบามากๆ เหมือนเดินอยู่บนเมฆ ความรู้สึกภายในใจก็ว่าง เบา สบาย "ถ้าใครมาว่า มาด่าเราตอนนี้  เราคงไม่ว่าอะไร คงไม่โกรธเป็นแน่" เพราะความ เบา สบาย มันคุมทั่วจิตใจเราไปหมด


ตั้งแต่ครั้งนั้นมา เวลาทำงานตอนเย็น อยู่ๆก็มีความรู้สึกอิ่มในใจ เย็นในใจ อยากนั่งสมาธิ  และเราก็แอบหลบมานั่งสงบๆคนเดียวในท่านั่งธรรมดา(ไม่ได้ขัดสมาธิ)และทำสมาธิอยู่ขณะหนึ่ง เป็นอย่างนี้บ่อยๆ และ ภายในจิตเวลามันเห็นอะไรจากภายนอก ก็จะมีการพิจรณา ความเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา



     ผมก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม โดยทำตามแนวทางของพระอาจารย์ตลอด นับจากวันที่ได้กลิ่มหอมมา ปฏิบัติติดต่อกันตลอด ๒๐ วัน พอคืนที่ ๒๐ หลังการปฏิบัติเสร็จแล้วก็เข้านอน 

ขณะกำลังจะหลับนั้น เหมือนมีใครมาบีบกรามอย่างแรง เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ได้ยินเสียงฟันโดนบีบอัดเข้าหากันเหมือนมันจะแหลกละเอียด เรารู้สึกตัว เรามีสติอยู่ แต่เราทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ดูมันอย่างเดียว และเราก็เห็นเสียงสีเขียว พุ่งเข้ามาหาเรา เข้ามาทางดวงตา   สักพัก ความรู้สึกที่โดนบีบกรามก็ค่อยๆ หายไป 




   พระอาจารย์ ได้อธิบายเรื่องนี้ว่า  เจ้ากรรมนายเวรของเรา พอมันรู้ว่าเรากำลังจะหนีมันไป มันก็รีบมาทวงเอาคืนมันไม่ยอมให้เราไปง่ายๆ แล้วแสงสีเขียวนั้นคือแสงของเทวดาเขามาช่วยเอาไว้(ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเทวดาประตัวเราน่ะครับ)

พอคืนที่ ๒๑ ก็ปฏิบัติเหมือนเดิม นั่งสมาธิ แล้วก็ลุก เดินจงกรม  พอตอนเดินจงกรม ก็ได้กลิ่นหอมเหมือนเดิมอีกครั้ง เหมือนครั้งที่ได้กลิ่นครั้งแรกเลย ได้กลิ่นตรงที่เดียวกันเลย ก็ปฏิบัติแนวทางเดิม อย่างนั้นมาอีก ๑๖ วัน ระหว่างนี้ก็เกิดสภาวะหลายอย่าง และได้ไปหาพระอาจารย์ ที่วัดเขาถ้ำพระ อีกครั้งก็และได้ถามพระอาจารย์ดังนี้



ผมถามว่า: ครั้งนั้นเมื่อ นั่งสมาธิ เดินจงกรมเสร็จแล้ว เข้านอนตามปกติ และก็กำหนดจนกว่าจะหลับ แต่ยังไม่ทันหลับ ก็เห็นหน้าตัวเองแก่ เห็นปากตัวเองเหมือนคนแก่ที่ไม่มีฟัน แบบนี้เป็นยังไงเหรอครับ


พระอาจารย์:ตอบว่า เป็นผลของสมถะ เป็นผลของสมาธิ ที่เห็นเป็นอสุภะ

ผมถามต่อว่า: มีอยู่อีกครั้งหนึ่ง พอปฏิบัติเสร็จแล้ว ก็เข้านอนเหมือนเดิม กำหนดเหมือนเดิม ก็เห็นร่างกายตัวเอง ที่กำลังนอนอยู่ปลิวเหมือนใบไม้


พระอาจารย์:ตอบว่า เป็นอาการ ของปิติ




ผมถามต่อว่า:ขณะเดิน จงกรม ก็เกิดความรู้สึก กลัว ขึ้นมาเฉยๆ


พระอาจารย์:ถามว่า กลัวอะไร

ผมตอบว่า: ไม่รู้เหมือนกันครับว่ากลัวอะไร แต่รู้สึกกลัว


พระอาจารย์: ตอบว่า เป็นผลของการปฏิบัติ อยู่ระหว่าง ญาณที่ ๖

    ผมก็ได้ลาพระอาจารย์ กลับ และก็ปฏิบัติ มาโดยตลอด จนคืนที่ ๑๕ นั่งสมาธิเหมือนเดิน และเดินจงกรมก็ได้กลิ่มหอม เหมือนครั้งก่อนอีก  

พอคืนที่ ๑๖  ระหว่างนั่งสมาธิอยู่รู้สึกช่วงหนึ่งเหมือนมีอะไรหมุนเป็นเกลียวๆกลางหน้าอกลึกลงไปเป็นชั้นๆ สักพัก ก็คลายเป็นปกติ และก็ลุกขึ้นเดินจงกรม  และก็เข้านอน

พอตอนเช้าก็ได้โทรไปถามพระอาจารย์ และก็อธิบายอาการให้ฟัง





พระอาจารย์บอกว่า: นรงฤทธิ์ปฏิบัติดีแล้ว ได้ของดีแล้ว ให้ปฏิบัติต่อไป และขยันทำงาน

ผมตอบว่า: ครับ

ตั้งแต่นั้นมา จนถึงปัจจุบัน ผมไม่เคยได้กลิ่นนั้นอีกเลย เป็นเวลา  ๒ ปี แต่มีสภาวะเกิดขึ้นมากมาย เดี๋ยวจะค่อยๆเล่าทีละอย่างน่ะครับ แต่จำไม่ได้ว่า มันเกิดขึ้นวันไหน แต่อยู่ในระหว่าง ๒ ปีที่ปฏิบัติ

     


   ครั้งหนึ่งหลังการปฏิบัติเรียบร้อยแล้วเข้านอน กำลังจะหลับ รู้สึกเหมือนมีใครมาจับขาและก็เหวียงเราหมุนรอบ อยู่บนเตียงที่นอน ตัวเราก้รู้สึกหมุนด้วย ก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น สักพักก็หาย  อันนี้ไม่ได้ถามพระอาจารย์ แต่เราเข้าใจว่า น่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ของเราเองที่คอยจะทวงคืนจากเรา

ครั้งหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ดีๆ น้ำตาข้างขวาก็ไหลออกมาเอง โดยเราไม่มีความรู้สึกอะไรเลย มันก็ไหลออกมาเอง เราไม่ได้ถามอาจารย์ แต่เราเข้าใจว่า น่าจะเป็นอาการของปิติ




   ครั้งหนึ่งตอนนั่งสมาธิ จะเห็นมือตัวเองใหญ่ มือบวมมาก และ ตัวใหญ่ ตัวบวม อาการอย่างนี้ ตอนแรก เกิดขึ้นบ่อยมาก แต่ตอนนี้ไม่ค่อยเกิดแล้ว เราเข้าใจว่า เป็นอาการของปิติ

บางครั้งก็จะเห็นมือตัวเองหาย บางครั้งร่างกายตัวเองก็บิดผิดรูปทรง เราก็เข้าใจว่า น่าจะเป็นอาการของ ปิติ  เวลาที่เรามีสมาธิอาการของปิติก็จะเกิดขึ้น เราเข้าใจอย่างนี้


     


   ครั้งหนึ่งนั่งสมาธิได้นานประมาณ ๒ ชม.ปกติเราจะนั่งประมาณ ๔๐-๕๐ นาที วันนี้นั่งได้นานเป็นพิเศษ รู้สึกว่านั่งได้ดี ไม่รู้สึกง่วง ไม่มีความฟุ้งซ่าน รู้สึกปวดขาแต่ไม่ปวดทรมาน ปวดแบบนั่งต่อได้เรื่อยๆ เป็นอย่างนี้อยู่ ๒ วันติดต่อกัน ก็ได้โทรไปถามพระอาจารย์


พระอาจารย์ตอบว่า: เป็นผลของสมาธิ เป็น สมาบัติ อย่างอ่อน

   


   ครั้งหนึ่งตื่นนอนมาตอนเช้า รู้สึกว่าใจตัวเองเบา มีความเป็นกลาง ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย มีแต่ธาตุธรรมชาติ มีแต่เพื่อนร่วมเกิดมาใช้กรรม มันรู้สึกขึ้นมาเองภายในจิตใจ เกิดขึ้น ๒ ครั้ง   อีกครั้ง เกิดตอนขณะขับรถ เกิดความรู้สึกเดียวกันเลย เหมือนกันเลย ตั้งแต่ปฏิบัติมา เกิดความรู้สึกแบบนี้ แค่ ๒ ครั้งจนถึงปัจุบัน เกิดความส่งสัยเลยโทรไปหาพระอาจารย์

พระอาจารย์ตอบว่า: นั้นแหละเป็นความรู้สึกของพรหม ถ้านรงฤทธิ์ตายตอนนี้ก็จะไปเกิดเป็นพรหม




  ครั้งหนึ่งตอนขายของในงานปิดทอง ขณะนอนหลังร้านเวลาประมาณ ๔-๕ โมงเย็น เรานอนกำหนดไปด้วย  


อยู่ๆก็รู้สึก ว่าตัวเองค่อยๆๆลอยขึ้น รู้สึกขนลุกด้วย และ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆๆ วิ่งตามร่างกาย แต่ลืมตาไม่ได้ ในภาพที่เราเห็นขณะหลับตานั้น เราเห็นพระลอยอยู่เหนืออากาศห่างจากเราไม่มาก 

เราเห็นท่านค่อยๆๆยกมือขึ้น จากล่างขึ้นบน  ตัวเราก็ค่อยๆๆลอยขึ้นตาม  ในความรู้สึกตอนนั้น คือเราก็กลัวว่าคน ที่อยู่ภายนอกจะเห็นเราลอยได้ แต่เราไม่รู้ว่าตัวเราลอยจริงไหม หรือ ตัวเราลอยเฉพาะในความรู้สึก  สักพักก็หายกลับสู่ภาวะปกติ เราก็เลยเกิดความสงสัย ได้ถามพระอาจารย์




พระอาจารย์ตอบว่า: เป็นอย่างนั้นแหละ เป็นอย่างที่เห็นนั้นแหละ พระพุทธเจ้า ท่านมาให้พร ท่านมาให้กำลังใจนักปฏิบัติ  นรงฤทธิ์ ได้อ่านหนังสือเล่นสีชมพูรึยัง ลองไปอ่านดูซิ(หนังสือสีชมพู ก็คือ หนังสือ ปรากฎการณ์อันน่าพิศวงทางจิต )

ผมก็ได้มาอ่านหนังสือ มีตอนหนึ่งที่คุณหญิงได้จุดธูปบูชาพระ ๓ 
ดอก และมีธูป ๑ ดอก ที่มอดเร็วกว่าปกติ นั้น พระพุทธเจ้าท่านมาให้พร ท่านมาให้กำลังใจนักปฏิบัติ (บารมีท่านยังคงอยู่ เมื่อจิตเร
าสงบย่อมสัมผัสได้) 

เราจึงเข้าใจตอนนั้นเองว่า พระพุทธเจ้าถึงแม้ว่า ท่านจะปรินิพพานไปกว่า ๒๕๐๐ ปี มาแล้ว แต่ท่านยังอยู่กับลูกๆของท่านที่เป็นนักปฏิบัติเสมอ ท่านมิได้ทอดทิ้งเราไปไหน เมื่อเราได้รู้สึกเช่นนั้นจึงทำให้สภาวะทางจิตใจเราปราบปลื้มเป็นอย่างมาก




   ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เลิศสิทธิ์ได้ไปจำพรรษาที่ วัดแถวชัยภูมิ ตอนนั้นผมและเพื่อนๆ ได้นำพระแก้วมรกตไปถวายพระอาจารย์เลิศสิทธ์  และได้ ให้พวกเราดูCDธรรมะ ผมก็หลับตาฟังและนั่งสมาธิไปด้วย 


นั่งไปได้สักพัก รู้สึกลมหายเริ่มสั้นลง รู้สึกหน้าท้องที่กำลังพองยุบ อย่างชัดเจน และขณะหลับตานั้น ได้เห็นพระรูปหนึ่ง เดินวนรอบตัวเรา แต่เห็นแค่ครึ่งท่อนล่างไม่เห็นหน้าพระรูปนี้ เดินวนหลายรอบ แต่พอลืมตาก็ไม่เห็นพระรูปนี้

ผมถามว่า: พระอาจารย์ครับ เมื่อกี้ตอนนั่งสมาธิ เหมือนมีอะไร เดินวนรอบ ตัวผมครับ

พระอาจารย์ตอบว่า: นั่นแหละเป็น แสงสีรุ้ง  (พระอาจารย์ตอบ แค่นั้น)




   ผมยังไม่หายสงสัย หลังจากกลับมาถึงบ้าน ได้โทรไปหาพระอาจารย์อีกครั้ง

ผมถามว่า:พระอาจารย์ครับ แสงสีรุ้งนี้มันคืออะไรเหรอครับ
พระอาจารย์: แล้วนรงฤทธิ์ เห็นแบบไหนละตอนนั้น

ผมตอบว่า: ผมเห็นเป็นผ้าเหลือง และได้ยินเสียงคน เดินวนรอบตัวผมครับ ผมนึกว่าอาจารย์เดินวนรอบตัวผมสะอีก




พระอาจารย์ตอบว่า: พระอาจารย์ไม่ได้เดินวนน่ะ  แต่เป็นพระรูปหนึ่งน่ะ  ที่เดินวนรอบ นรงฤทธิ์ๆ มีตาทิพย์ หูทิพย์ นรงฤทธิ์ จึงเห็นและได้ยินอย่างนั้น

ผมถามต่อว่า:ทำไมพระรูปนี้ จึงมาเดินวนรอบผมละครับ


พระอาจารย์ตอบว่า: ท่านมาให้กำลังใจนักปฏิบัติ

ผมถามต่อว่า: ทำไมต้องเป็นผมละครับ

พระอาจารย์ตอบว่า: มีหลายคนที่อยากพบ และ อยากเจอพระองค์นี้ มีมากเป็นพัน แต่พระรูปนี้ จะไปพบได้อย่างไรหมด  
แต่ นรงฤทธิ์ เดินทางมาไกล เพื่อมาทำความดี และก็ตอนนรงฤทธิ์นั่งสมาธิ คลื่นจูนตรงกันพอดี จึงเป็นโอกาสพอเหมาะพอดี ที่พระรูปนี้จะมาให้กำลังใจ นรงฤทธิ์




ผมถามต่อว่า: พระอาจารย์บอกว่าผมมีตาทิพย์ หูทิพย์ ทำไมผมนั่งสมาธิ อยู่ที่บ้านจึงไม่เห็นอะไรเลยละครับ


พระอาจารย์ตอบว่า: 

การที่เราจะเห็นของสิ่งๆหนึ่ง  

๑.ต้องมีสิ่งของ  

๒.ต้องมีแสงสว่างที่ทำให้เราเห็นของได้  

๓.ตาเราต้องไม่บอด   

นรงฤทธิ์ มีตาดี มีแสงสว่าง แต่ไม่มีของให้เห็นจะเห็นได้อย่างไร 

บางทีมีตาดี มีสิ่งของ แต่ไม่มีแสงสว่าง ก็มองไม่เห็นอีกเหมือนกัน เข้าใจไหม

ผมตอบ: เข้าใจครับ

..คำตอบของพระอาจารย์ ทำให้ผมหายสงสัย และคลายความสงสัยไปได้อีกหลายอย่าง เป็นความโชคดีของผมจริงๆที่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์เลิศสิทธิ์

   


   ครั้งหนึ่งได้นั่งสมาธิตามปกติ ที่ปฏิบัติเป็นประจำ นั่งไปได้สักพักหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรจะเกิดขึ้น แป๊บเดียวก็เหมือนมีคนจับขาเราเหวียงตรงที่เรานั่งสมาธิเลย มันเกิดในความรู้สึกน่ะ ไม่รู้ว่ากายเราจริงๆหมุนไปด้วยรึป่าว แต่เราลืมตาไม่ได้ 

ตรงที่เรานั่งสมาธิ มีโตะ เก้าอี้ วางอยู่ แต่มันจับเราเหวี่ยงผ่านขาโต๊ะขาเก้าอี้ไปเลย เหมือนกับมันเอากายทิพย์เราไปเหวียงอย่างนั้นแหละ ครั้งนี้มันมาแบบรุนแรง มันทำให้เรารู้สึกกลัว  เราจึงได้ตะโกนเรียก "พระอาจารย์ครับ"




   และมีความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาว่า "ให้เรายอมตาย"ก็เลยได้อธิษฐานออกไปว่า ถ้าเรามีเวรกรรมต่อกันกับท่านที่กำลังทำร้ายเราอยู่นี้ เราก็ขอยอมตาย ถือว่าเป็นกรรมของเราเอง ก็เป็นการดีที่เราได้ตายตอนเรานั่งสมาธิ  แต่ถ้าเราไม่ได้มีเวรกรรมต่อกัน ก็อย่าได้สร้างเวรต่อกันและกันเลย  

บุญกุศลที่เราสะสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จแก่ท่าน ที่กำลังทำร้ายเราอยู่นี้ เราไม่โกรธท่านเลยแม้แต่น้อย เราอโหสิให้ท่านทุกอย่าง 
ขอท่านจงรับเอาบุญกุศลที่เรามอบให้นี้ไปเถิด  

สักแป็บเดียวความรู้สึกก็ค่อยๆ กลับสู่ปกติ และนั่งสมาธิได้ดี มีความสงบเป็นอย่างมาก และได้โทรไปเล่าให้พระอาจารย์ฟัง




พระอาจารย์ : นรงฤทธิ์ เห็นตัวมันไหมว่าเป็นยังไง?

นรงฤทธิ์ : ผมไม่เห็นครับ มีแต่ความรู้สึกอย่างเดียว


พระอาจารย์ : อืม  สิ่งนี้มันเป็นเหมือนเครื่องทดสอบจิตใจเรา ว่าการปฏิบัติของเราเป็นอย่างไร  ทำให้เราได้รู้ว่าเราไม่กลัวตาย  ถ้าไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น นรงฤทธิ์ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเรายอมตายได้  นรงฤทธิ์ปฏิบัติได้ดีแล้ว


----------------------
วันที่ 19/ธ.ค./64 

ได้กลับมาอ่าน เรื่องราวของตัวเอง ที่ผ่านมาก็ 13 ปี ได้นำบันทึกการปฏิบัติออกมาเผยแพร่ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับนักปฏิบัติบ้างไม่มากก็น้อย

------------------------

2 ความคิดเห็น:

  1. เต้น16.1.65

    สาธุครับ เป็นประโยชน์ครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ19.1.65

    สาธุๆๆๆ..อ่านแล้วเกิดปิติและเห็นคุณค่าของการปฏิบัติมากๆ

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยม