Blog นี้สร้างมาเพื่อ เป็นสื่อกลางให้ผู้สนใจในการปฏิบัติ ได้มาศึษาหาความรู้ และ แนะนำสถานที่ปฏิบัติให้แก่ผู้สนใจ และ ช่วยนักปฏิบัติผู้กำลังหลงทาง ให้เจอทางออก และ เข้าถึงซึ่งความเป็นจริงของสภาวะ

9 พฤศจิกายน 2564

๒๒. เคยเกิดเป็นชาวนา

เคยเกิดเป็นชาวนา 






     อาตมายังระลึกชาติย้อนไปอีกชาติหนึ่งได้ว่า ก่อนจะมาเกิดเป็น หลวงปู่ ซึ่งมรณภาพแล้วร่างกายไม่เปื่อยเน่านั้น ในชาตินั้นอาตมาได้เกิด เป็นชาวนายากจน


ชีวิตตั้งแต่เด็กในอีกชาตินั้น ก็ช่วยบิดามารดาทำมาหาเลี้ยงชีพ ด้วยการหาฟืนและจับปลาอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะการจับปลานั้น ได้ทำมากที่สุด ทั้งตกเบ็ด ทอดแห ทั้งดักด้วยไซ



บิดาเคยสอนว่า กุ้งปลาที่จับขึ้นมาได้นั้น ถ้าปรากฏว่าเป็นกุ้ง ปลา เวลาไข่ ก็ควรปล่อยไปเสีย เพราะกุ้ง ปลา เหล่านั้นจะต้องไข่ออกมาเป็น ตัว และแพร่พันธุ์ต่อไป ถ้าขืนเอามากินมาขายเสียหมด ก็จะสูญพันธุ์ ปลาที่จะนำไปขายส่วนมากยังเป็นๆ อยู่ ส่วนปลาที่ตายแล้วก็เหลือเอา ไว้กิน ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็จะไม่มีกิน เพราะที่นาทำกินมีน้อย ได้ข้าว มาก็แทบจะไม่พอกิน 


ชาวนาส่วนมากนั้น เรื่องจับปลาแล้วก็ทำกันทั่วไป เพราะปลาเป็น อาหารหลักแก่ชาวนาทั่วไป







     เมื่ออาตมาเติบโตขึ้น บิดามารดาผู้ชราภาพก็ตายจากไป ในเวลา ไล่ๆกัน พี่น้องก็ไม่มี เพราะในชาตินั้นอาตมาเป็นลูกชายคนเดียวของ บิดามารดา แต่แรกคิดจะหาภรรยาสักคน จะได้มาช่วยกันทำมาหากิน แต่เพราะความยากจน ทั้งยังมองไม่เห็นว่า ใครจะมารักใคร่ไยดี ยอม เป็นภรรยาคนจน ที่นาที่เป็นมรดกก็มีเพียง ๖ - ๗ ไร่เท่านั้น บ้านก็เป็น บ้านหลังเล็กๆ หลังคามุงจาก


ตอนที่บิดามารดาเสียชีวิตนั้น อาตมาว้าเหว่มาก เงินทองสะสมไว้ก็ ไม่มีพอที่จะทำศพ


ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงไปหาท่านอาจารย์เจ้าอาวาสใกล้บ้าน ท่าน อาจารย์ก็บอกว่า






“อย่าเศร้าโศกเสียใจอะไรเลย ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์อย่าง นั้นแหละ หมดพ่อแม่แล้ว ลูกเมียก็ไม่มี เท่ากับตัวคนเดียว ไม่ต้อง ห่วงใจอะไรอีกแล้ว หันหน้าเข้ามาหาพระพุทธศาสนาเถอะ บวชเรียนเสีย จะได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พ่อแม่ ท่านจะได้ไปจุติในภพภูมิที่ดี แล้ว จงตั้งหน้าปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์เถอะ เพราะจะเป็น หนทางเดียวเท่านั้นที่พ้นทุกข์ได้



อาตมาในชาตินั้น ก็รู้สึกเห็นคล้อยตามท่านอาจารย์เจ้าอาวาส เพราะมีเพียงตัวคนเดียว จะเหนื่อยยากไปทำไม และเพื่ออะไรกัน บวช แล้วก็ปฏิบัติธรรม เพื่อหาทางพ้นทุกข์ดีกว่า อย่างน้อยเราก็ทำปาณาติบาต มามาก จะได้ลบล้างบาปให้หมดไป






     หลังจากนั้นอาตมาจึงกลับบ้าน แล้วบอกขายที่นา มีเพื่อนทำนาที่ ติดกัน เขารับซื้อไว้ เมื่อได้เงินมาก็เอามาจัดการเผาศพบิดามารดาจน เสร็จเรียบร้อย


ครั้นเหลือเงินอยู่ก็เอามาซื้ออัฐบริขารแล้วโกนหัวเข้าวัด ทำการ อุปสมบทอย่างเงียบๆ โดยท่านอาจารย์เจ้าอาวาส ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้






     ในชาตินั้น อาตมาก็บวชอยู่ได้จนตลอดชีวิต บวชเรียนแล้วก็ได้ ศึกษาจนถึงนักธรรมโท


ต่อมาในพรรษาที่ ๓ อาตมาก็ติดตามท่านอาจารย์เจ้าอาวาสออก ธุดงค์ไปตามป่าเขาต่างๆ ซึ่งในสมัยนั้น เมื่อออกพรรษารับกฐินแล้ว มักนิยมออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมกันส่วนมาก และท่านอาจารย์ก็ออกธุดงค์ เป็นประจำมิได้ขาด


พอพรรษาครบ ๕ จึงได้ออกเดี่ยวไปตามลำพัง บางทีก็ไม่กลับมา จำพรรษาที่วัดเดิม เอาถ้ำเป็นที่อธิษฐานเข้าพรรษา ๓ เดือน ออกพรรษา แล้วก็ธุดงค์ต่อไป อยู่มาจนอายุได้ ๙๐ ปี จึงถึงอายุขัย




     ในชาติที่กล่าวนี้ อาตมาได้บรรลุแค่ฌาน ๔ ซึ่งเป็นฌานโลกีย์ ประกอบกับได้อธิษฐานว่า เมื่อมีกรรมอยู่ เป็นหนี้เจ้ากรรมนายเวรอยู่ ก็ยินดีชดใช้ให้หมดกันไป


ด้วยเหตุนี้เมื่ออาตมาถึงอายุขัย จิตจึงลงไปใช้กรรมในนรกขุม ปาณาติบาต อยู่ในระยะหนึ่ง


เมื่อใช้หนี้กรรมแล้วอาตมาจึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ครั้นอายุ ๑๒ ขวบ ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร จนกระทั่งได้อุปสมบทเป็นภิกษุในพุทธ ศาสนานี้





     พรรษาที่ ๒๐ (ในชาติที่เป็นหลวงปู่ ร่างกายไม่เน่าเปื่อย) จึงข้าม โลกิยฌาน มาได้ บรรลุถึงพระโสดาบัน จึงสิ้นอายุขัย


ด้วยบุญกุศลที่อาตมาได้ปฏิบัติธรรมสมาธิต่อเนื่อง ไม่มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่มีความปรารถนาไปสู่สวรรค์วิมานใดๆ มุ่งแต่จะให้พ้นทุกข์ เข้าถึงพระ นิพพานอย่างเดียว จึงไม่ต้องรอถึง ๗ ชาติ จึงได้มาเกิดเป็นอาตมาใน ชาตินี้

.......................................................................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม