Blog นี้สร้างมาเพื่อ เป็นสื่อกลางให้ผู้สนใจในการปฏิบัติ ได้มาศึษาหาความรู้ และ แนะนำสถานที่ปฏิบัติให้แก่ผู้สนใจ และ ช่วยนักปฏิบัติผู้กำลังหลงทาง ให้เจอทางออก และ เข้าถึงซึ่งความเป็นจริงของสภาวะ

2 พฤศจิกายน 2564

ทางมีอยู่แต่ไปไม่ถึงเพราะไม่ได้เดิน

   



 การเห็นพระไตรลักษณ์นั้นคือการเห็นขันธ์ ๕ คือ ตัวของคนทุกคน กายกับใจนี่แหละเป็นพระไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีอยู่แล้วแต่เราไม่เห็น ท่านกล่าวไว้ในธรรมนิยามสูตรว่า พระพุทธเจ้าจะเกิดก็ตาม ไม่เกิดก็ตาม ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของรูปและนาม เขาก็มีอยุ่ของเขา มีอยู่ในโลก แล้วก็มีอยุ่ในตัวของคนทุกคนด้วย


      ถ้ามีอยู่ในตัวเราแล้วทำไมเราจึงไม่เป้นผู้ประเสริฐตามพระไตรลักษณ์นี้เล่า นี่เป็นเพราะเราไม่ได้เห็น หรือเราไม่เอามาใช้ให้เห็น
           


      มันก็เหมือนสติปัฏฐาน๔ ซึ่งเป็นทางเดินของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรมะ กายก็คือตัวของคนทุกคน เวทนาก็คือความสบาย  ไม่สบาย เฉยๆ จิตก็คือใจ ธรรมะก็คือขันธ์ ๕ มันมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แต่ที่เราไม่ได้เป้นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็เพราะเราไม่ได้เอามาใช้
           


      เหมือนทองคำมีอยู่ในดิน แต่ถ้าเราไม่มีปัญญาก็หาไม่ได้ น้ำมันมีอยู่ใต้ดิน เราไม่มีปัญญาขุดมันก็ไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ของจริงก็อยู่นี่  ในร่างกายของเราอันยาววาหนาคืบ อริยสัจ ๔ อ สมุทัย นิโรธ มรรคก็อยู่ตรงนี้ หาเอาที่ตรงนี้ แต่เราทำไมไม่เห็น
           


      ที่ไม่เห็นก็เพราะเขาขาดปัญญาอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่ประพฤติปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างหนึ่ง คือไม่ได้มีปัญญา เหตุที่ไม่มีก็เพราะไม่ได้เจริญวิปัสสนา




สภาวะของรูป นาม

            (คำว่า) โดยสภาวะ แปลว่า มีอยู่ เป็นอยู่ตามความเป็นจริง เช่น พองกับยุบนี้ มีอยู่พร้อมกับการเกิดของคน คลอดจากท้องแม่มาเมื่อไร พอง-ยุบก็มีอยู่เมื่อนั้น ความมีอยู่ เป็นอยู่ของรูปนาม อย่างนี้ เรียกว่าสภาวะ ตลอดถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูป-นาม ก็เรียกว่าสภาวะ
ส่วนอาการของรูป นาม นั้นก็มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของรูป-นาม นั่นเอง เช่น ขณะตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง รูป-นาม ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาวะอย่างนี้เสมอมา


            ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม รูป-นาม ก็ย่อมเป็นไปตามความจริงอยู่อย่างนั้น ไม่มีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาตรัสรู้ในโลกก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นมาตรัสรู้ก็ตาม ความเกิด-ดับ ของรูป-นาม ก็มีอยู่อย่างนั้น ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูป-นาม ก็เป็นอยู่อย่างนั้น

            ผู้ต้องการมรรค ผล นิพพาน ต้องเอาปรมัตถ์ คือ รูป นาม มาเป็นอารมณ์ คือ ใช้สติกำหนดรู้รูป นาม ให้ทันปัจจุบัน เมื่อกำหนดติดต่อกันจริงๆแล้วจะเกิดปัญญา รู้จักหน้าตาของรูป-นาม ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง หมดความข้องใจสงสัยในคำว่าหนวดเต่า เขากระต่าย ฉะนั้น



            เมื่อได้ปัจจุบันดีเป็นประการที่ ๑ และรู้รูป-นามเป็นประการที่ ๒ พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาซึ่งเป็นประการที่ ๓ จึงปรากฎได้

            รูป-นาม เปรียบเหมือนตัวเสือ พระไตรลักษณ์เปรียบเหมือนตัวเสือ ถ้าคนไม่เห็นตัวเสือจะเห็นลายของเสือไม่ได้เป็นอันขาด เพราะตัวเสือกับลายเสืออยู่ด้วยกันแต่ไม่ใช่อันเดี่ยวกัน ข้อนี้ฉันใด ถ้าคนไม่เห็นรูปนามแล้วจะเห็นพระไตรลักษณ์ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพระไตรลักดษณ์เป็นลวดลายของรูป-นาม ติดอยู่กับรูป-นาม แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน ฉันนั้นเหมือนกัน

.....................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม