Blog นี้สร้างมาเพื่อ เป็นสื่อกลางให้ผู้สนใจในการปฏิบัติ ได้มาศึษาหาความรู้ และ แนะนำสถานที่ปฏิบัติให้แก่ผู้สนใจ และ ช่วยนักปฏิบัติผู้กำลังหลงทาง ให้เจอทางออก และ เข้าถึงซึ่งความเป็นจริงของสภาวะ

5 พฤศจิกายน 2564

๙.เทพบุตร เทพธิดา มาขอฟังธรรม

 เทพบุตร เทพธิดา มาขอฟังธรรม








     ดังได้เล่ามาแล้วว่า อาตมานั้นมีตารู้ หูได้ยิน อย่างที่เรียกว่า ตาทิพย์ หูทิพย์ มาแต่เด็กๆ เป็นสิ่งที่ติดมากับจิตเดิมแท้ ที่เคยปฏิบัติมา แต่อดีตชาติ โดยเฉพาะชาติที่แล้ว เป็นพระชรามรณภาพในสมาธิ ใน ชาตินี้แม้ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็สามารถเห็นได้เอง

อย่างที่เห็นเจ้าป่า เจ้าเขา เทวดาอารักษ์ ตอนที่มาถึงถ้ำนี้ เป็นการ เห็นโดยไม่ได้หลับตา และเห็นตอนกลางวัน การเห็นนี้ นับว่าเห็นจน เคยชิน เป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับที่เรามองเห็นมนุษย์และสัตว์ หรือ ทุกสิ่งในโลกนี้ แม้จะเป็นคนละมิติ คนละภูมิก็ตาม

ตอนที่อาตมาจะไม่เห็น ก็ตอนที่ปฏิบัติธรรมสมาธิ จิตเป็นเอกัคตา หรือเข้าสู่อุเบกขา กับตอนที่ถอนจิตออกมาสู่อุปจารสมาธิ พิจารณา กายคตาสติ ไม่ได้สนใจกับสิ่งภายนอก ใช้แต่สติคอยดูคอยรู้กายกับจิต เป็นปัจจุบันเท่านั้น เมื่อออกจากสมาธิแล้ว จึงได้เห็นอย่างที่เคยเห็น




     เมื่อปฏิบัติอยู่ในถ้ำนี้ ๗ วัน คืนที่ ๗ นั้น ขณะที่ออกจากนั่งสมาธิ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ออกไปเดินจงกรมหน้าถ้ำ ซึ่งเป็นพื้นเรียบ ญาติโยม เขามาปัดกวาดไว้ให้สะอาดดี อาตมาก็ได้พบเจ้าป่าเจ้าเขา เทวดาอารักษ์ ที่เคยพบในวันแรก มานั่งพนมมือขวางหน้าอยู่ จึงถามในใจว่า 

"ท่านมี ธุระอะไรกับอาตมาหรือ"




     เทวดาอารักษ์เป็นผู้ตอบว่า "ท่านสามเณรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บัดนี้ เทพบุตร เทพธิดา มีศรัทธาเลื่อมใส ประสงค์จะมาขอฟังธรรม รออยู่ หน้าถ้ำประมาณ ๕๐๐ ตน ขอนิมนต์ท่านสามเณรไปโปรดด้วย"


อาตมาก็ตอบว่า "อาตมาเป็นเพียงสามเณร มีความรู้น้อย ไม่สมควร จะไปกล่าวธรรมแก่เทพบุตรเทพธิดา อีกประการหนึ่ง ก็มีครูบาอาจารย์ มาด้วย อาตมาไม่กล้าทำเกินหน้าครูอาจารย์ เป็นการไม่เคารพท่าน ทำไมไม่ขอฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ของอาตมา ซึ่งมีคุณธรรมสูง กว่าอาตมา"

"ท่านเทพบุตรเทพธิดา พากันแสดงความปรารถนาจะได้ฟังธรรม จากท่านสามเณรนะท่าน" เทวดาอารักษ์ตอบ "ทำไมหนอ เพราะอะไรหนอ จึงแสดงความปรารถนาเช่นนั้น ทำให้อาตมาลำบากใจนะคุณโยมอารักษ์ เอาอย่างนี้เถอะ คุณโยม อารักษ์ไปเรียนปรึกษาต่อหลวงพ่ออาจารย์เสียก่อน ท่านจะอนุญาต ไหม ไม่เช่นนั้นอาตมาไม่กล้าจริงๆ"

"เอาอย่างนั้นก็ได้ท่านสามเณร" ท่านอารักษ์ตอบแล้ว ก็ขยับเขยื้อนกายอันเป็นทิพย์นั้นเข้าไปยังถ้ำ ชั้นใน แต่แล้วหลวงพ่ออาจารย์ก็มาปรากฏตัว พร้อมกับพูดว่า "เณรจงไปแสดงธรรมโปรดเขาเถอะ หลวงพ่ออนุญาต"




"หลวงพ่ออาจารย์จะให้กระผมแสดงธรรมด้วยข้อใดหรือขอรับ"


"ธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดานั้น ย่อมทำให้เทพเหล่านั้นชื่นชม ยินดี เกิดปีติแก่เขา แต่จะทำให้เขายึดติดอยู่กับความหลงในความเป็น เทวดาของตน ซึ่งมีเหตุให้เสื่อมได้ ไม่ก้าวหน้าในธรรม ควรแสดงไตรลักษณ์ และความไม่ประมาทด้วย จึงจะชอบ"


เมื่อได้รับอนุญาตเช่นนั้น อาตมาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง จึงเดินนำ เทวดาอารักษ์ออกไปที่ปากถ้ำ ซึ่งในราตรีนี้ เป็นยามข้างขึ้น ๑๔ ค่ำ ดวง จันทร์ใต้แผ่นฟ้าส่องแสงกระจ่างแจ่มใสไปทั่วหล้า เหล่าดาราที่เคย ประดับฟ้าในคืนข้างแรม ก็ถูกกลืนหายไป ทั้งที่ธรรมชาติของดวงตา ยังคงมีอยู่เช่นเดิม แสงจันทร์นั่นเองทำให้มองเห็นเทพบุตร เทพธิดา ในชุดขาว นั่งกันอยู่เป็นระเบียบ เป็นสัดส่วน เทพบุตรนั่งรวมกันอยู่ทางซีก ขวา เทพธิดานั่งอยู่ทางซีกซ้าย เว้นช่องทางเดินไว้ตรงกลาง


จากร่างในชุดขาวบริสุทธิ์นั้น มีแสงเรืองอ่อนๆ อยู่ทั่วกาย อาตมา ได้แต่ชำเลืองดูตอนที่ออกไปยืนหน้าถ้ำเท่านั้น มิได้พิจารณาสังเกตอย่าง ถี่ถ้วน ว่าหน้าตาจะงดงามหรือไม่ เพราะต้องอยู่ในอาการสำรวมอินทรีย์ กาย วาจา ใจ ทอดสายตาไปไม่เกิน ๔ ศอก




    ครั้นไปยืนอยู่หน้าถ้ำแล้ว เทพทั้งหลายต่างยกมือขึ้นนมัสการจรด เหนือหน้าผาก เทพองค์หนึ่งจิตรู้ว่าเป็นหัวหน้า พูดขึ้นด้วยเสียงอันมี กังวานไปเราะว่า


"พระคุณเจ้า เหล่าโยมซึ่งเป็นเทพบุตร เทพธิดา มากันเป็นจำนวน ๕๐๐ ตน มีความปรารถนาจะขอฟังธรรม ขอพระคุณเจ้าได้โปรดแสดง ธรรม แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด"


อาตมาสงบอยู่ขณะหนึ่ง จึงกล่าวขึ้นว่า "คุณโยมเทพบุตร เทพ ธิดาทั้งหลาย ผู้มีความปีติสุข ความอิ่มเอิบในทิพยสมบัติเป็นเครื่องอยู่ เป็นผู้นิราศแล้วจากทุกข์ทั้งปวง แม้กระนั้นคุณโยมก็มิได้มีความ ประมาท หลงอยู่ในทิพย์สมบัติ มีจิตปรารถนาจะได้รับรสพระธรรม เป็นที่น่ายินดีอนุโมทนา ความปรารถนาในกุศลธรรมนี้ นับเป็นบุญ ที่ควรอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง


อาตมาได้ออกมาแสดงธรรม ตามความปรารถนาของคุณโยมทั้ง หลาย แต่ขอได้โปรดทราบว่า ธรรมที่นำมาแสดงนี้ เป็นธรรมขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่ไม่มีกาลเวลา ผู้ส้องเสพซึ่งรสพระธรรมเมื่อใด ย่อมได้รับรสแห่งธรรมนั้นทุกเมื่อ นับเป็น ธรรมของโลกโดยแท้


กุศลธรรมเหล่าใด อันทำให้บุคคลเป็นเทพบุตร เทพธิดา เสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ บัดนี้ กุศลธรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งที่คุณโยมทั้งหลายสมควร นำมาทบทวน กระทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหลงลืมละเว้น เพราะ เหตุแห่งทิพยสมบัติที่เสวยอยู่ มาปิดบังอำพรางไว้


อันทิพยสมบัติที่เสวยอยู่นี้ แท้จริงเป็นของเสื่อมได้ หมดได้ เป็น ของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยเป็นเพียงโลกียสมบัติ เมื่อกุศลกรรมที่ได้ กระทำไว้หมดลง ความสุขอันนี้ก็จะกลายเป็นทุกข์ หรือจะต้องไปเกิดใหม่ ตามภพภูมิ ตามกรรมดีกรรมชั่วของตน ที่ยังมีเชื้อเหลืออยู่


ทิพยสมบัติมิใช่อัตตาตัวตน ที่เราท่านจะยึดถือหวงแหนเอาไว้ได้ ด้วย เหตุนี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงตรัสย้ำเป็นคำสุดท้าย ก่อน ปรินิพพานว่า ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความ ไม่ประมาทนั้น คือควรระลึกถึงกุศลกรรมที่ตนได้กระทำมาดีแล้ว และพากเพียรกระทำต่อไป มิให้ขาดสาย


โลกทิพย์ อันคุณโยมทั้งหลาย เสวยทิพยสมบัติอยู่นั้น จงพิจารณา ให้ดี ก็จะเห็นว่า ยังเป็นโลกที่ไม่มีแก่นสารอยู่ อาจกล่าวได้ว่า เป็นโลกที่ ไม่มีตัวตน เป็นแต่แสงสว่างแผ่ซ่านอยู่ เป็นโลกที่ละเอียดอ่อน




    คุณโยมที่ปรากฏกายให้อาตมาเห็นนี้ ก็ด้วยอำนาจของจิตอธิษฐาน จะจัดว่าเป็นโลกของจิตพักอาศัยอยู่ก็ได้ ฤทธิ์อำนาจที่อาจบันดาลให้เป็น ไปตามความปรารถนาได้ ก็ได้อาศัยจิตเท่านั้น สวรรค์ก็ดี วิมาณก็ดี ล้วนเกิดขึ้น มีขึ้น ด้วยอำนาจของจิตที่เป็นกุศลธรรมส่งเสริมให้เป็น เช่นนั้น


จิตเป็นนามธรรม ไม่มีรูปที่จะประกอบกรรมดี หรือชั่วได้อย่าง มนุษย์ แต่จิตก็ใช่ว่า จะบริจาคทาน รักษาศีล เจริญสมาธิไม่ได้ แม้มนุษย์เองก็ได้อาศัยจิตทำให้กายกระทำ ตามที่ตนปรารถนา ฉะนั้น คุณโยมผู้เป็นเทพทั้งหลาย พึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิต เจริญสมาธิเถิด


การบริจาคทานด้วยจิต ก็คือให้ความกรุณา ให้ความเมตตาแก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้ใดมีทุกข์ ก็พึงอธิษฐานให้เขาพ้นทุกข์ เอาจิต ช่วยเขาให้เป็นสุข ผู้ใดผิดหวัง ก็เอาจิตช่วยให้เขาสมหวัง ซึ่งนับได้ว่า เป็น ทานบารมีอันยิ่งใหญ่




     ศีลก็ย่อมรักษาได้ด้วยจิต ระลึกถึงศีลที่ทำให้เป็นเทวดา ก็จะเห็นได้ ว่า เพราะมีเมตตาละเว้นการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น เพราะมีเมตตาไม่ กล่าววาจาให้เขาหลงผิด กระทำในสิ่งผิด เพราะมีเมตตาไม่ทำผู้อื่นเศร้า เสียใจ ต้องการละเมิดลูกเขาผัวเขาเมียเขา เพราะมีเมตตาไม่ถือเอาทรัพย์สิน ที่เจ้าของเขาหวงแหน ได้มาด้วยความทุกข์ยาก เพราะมีเมตตาต่อตนเอง บุตรภรรยา ไม่เสพของมึนเมา เช่น สุรา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษ ต่างๆ ดังนี้จึงเป็นศีล


จิตของคุณโยมเป็นกุศลจิต จึงนับว่าได้รักษาศีลไว้โดยสมบูรณ์ สมาธิก็คือทำจิตให้ตั้งมั่น อะไรที่เป็นอุบายให้จิตตั้งมั่นเล่า ก็คือการ ตามระลึกถึงอนุสติ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีนึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า เป็นต้น จิตภาวนาคำว่าพุทโธ ให้เป็นอารมณ์จิตอยู่สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง กุศลธรรมก็จะสูงขึ้นไปเป็นลำดับ


เมื่อหมดบุญกุศลที่ทำให้เป็นเทพ บุญแห่งการเจริญศีล เจริญ ภาวนา ก็จะมาเพิ่มเติมให้คงความเป็นเทพต่อไปอีก เมื่อพ้นจากเทพไปแล้ว ก็อาจไปจุติในมนุษย์โลก ในที่ดีมีสุข ได้ปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เกิดปัญญารู้แจ้งเป็นพุทธะต่อไป


เมื่อคุณโยมผู้เป็นเทพ ได้ตระหนักชัดว่า ความเป็นเทพนั้น ยังเป็น โลกียสมบัติซึ่งเป็นสิ่งสมมติ ไม่คงทนถาวร เสื่อมได้ หมดได้ สิ้นไปได้ ก็จงอย่ามีความประมาท เวลาในสวรรค์แม้จะยาวนานกว่าโลกมนุษย์ ถึงร้อยเท่าพันเท่า จะพ้นจากไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น ไม่ได้ สิ่งสมมติทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ จงขวนขวายละสมมติ ไปสู่วิมุตติเถิด จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร




     อาตมาสามเณรน้อย ได้อาราธนาธรรมคำสอนขององค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า มาเพื่อเป็นข้อระลึกของคุณโยมผู้เป็นเทพ พอสมควรแล้ว ขอเจริญพรแผ่เมตตาให้คุณโยมอย่ามีทุกข์เดือดร้อน อย่ามีภัยอันตราย ใดๆ อย่าเป็นผู้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย จงเป็นสุข…เป็นสุข ตามกุศลกรรม ของตนเถิด"


เมื่อจบลงขณะนั้น เสียงแซ่ซ้องสาธุการของทวยเทพก็ดังสะเทือน เลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขาไพรพนมทิพย์ แต่เสียงนั้นจะดังให้โลกรู้ก็หาไม่ ด้วยเป็นเสียงละเอียด ที่ผู้มีจิตละเอียดได้ทิพยโสตเท่านั้น จึงจะสัมผัสได้




     จากนั้นก็ได้เห็นเทพ พากันยกกรขึ้นเหนือนลาฏ แล้วก็ทยอยกัน กลับ ด้วยกิริยาอันเรียบร้อย เป็นระเบียบ แล้วเลือนหายไป ท่ามกลาง แสงจันทร์กระจ่าง


อาตมาก็กลับเข้าถ้ำ เข้าไปนมัสการอาจารย์อุปัชฌาย์ ตามแบบ อย่างศิษย์กับอาจารย์ ซึ่งท่านก็ได้ยกมือพนมอนุโมทนากล่าวว่า


"เณรแสดงได้ไพเราะจับใจ เทพทั้งหลายปีติชื่นชม สมใจหลวงพ่อ แล้ว"


ต่อจากนั้นก็เตือนให้เร่งความเพียรยิ่งๆขึ้นไป

หลวงพ่ออาจารย์กับอาตมา ได้เจริญภาวนาอยู่ในความวิเวก ต่อมา เกือบเดือน โดยไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายมาแผ้วพาน จากนั้นจึงอำลา ญาติโยม ผู้มีอุปการะบริจาคทาน ให้มีกำลังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ โดยสะดวก นับว่าญาติโยมเหล่านั้น ได้หว่านพืชแห่งกุศลของตน ลงไป ในนาที่เป็นเนื้อนาบุญ ด้วยเหตุอันดี คงจะได้รับผลเป็นความสุขสืบไป



..................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม