Blog นี้สร้างมาเพื่อ เป็นสื่อกลางให้ผู้สนใจในการปฏิบัติ ได้มาศึษาหาความรู้ และ แนะนำสถานที่ปฏิบัติให้แก่ผู้สนใจ และ ช่วยนักปฏิบัติผู้กำลังหลงทาง ให้เจอทางออก และ เข้าถึงซึ่งความเป็นจริงของสภาวะ

1 กันยายน 2554

ความพิศดารของโลกวิญญาณ


สืบเนื่องจากข้าพเจ้าได้มีโอกาส รู้จักสำนักปู่สวรรค์ จากการได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สำนักปู่สวรรค์เมื่อสิบเจ็ดปีมาแล้ว ได้อ่านหนังสือและศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของสำนักปู่สวรรค์ ที่ก่อตั้งโดย ท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ได้เห็นถึงความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และ ความเพียรอันยิ่งยวด ที่ท่านได้เสียสละตนเพื่อพระศาสนาและประเทศชาติ ท่านได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ เพื่อให้โลกเกิดสันติภาพ โดยให้ประชาชาติทั้งหลายได้เข้าถึงความดีงามอันสูงสุดของแต่ละศาสนาที่ตนนับถือ เพื่อให้โลกได้เกิดความสงบอย่างแท้จริง อีกทั้งได้เห็นถึงพระเมตตาของพระโพธิสัตว์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังสี ที่มีความเป็นห่วงมวลมนุษย์และประเทศชาติ ที่อยู่ในช่วงกลียุคขณะนั้น ( ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังแผ่อิทธิพล และ เกิดสงครามอินโดจีนในประเทศเพื่อนบ้าน )



เทพพรหมเบื้องบน จึงได้มีมติให้จัดตั้งสำนักปู่สวรรค์ขึ้นในโลกมนุษย์ เพื่อให้ประเทศไทยรอดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆ เพื่อบำบัดโรคภัยแก่ผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือไม่สามารถรักษาได้โดยแพทย์แผนปัจจุบัน เผยแพร่ธรรมคำสอนตามหลักวิปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้มวลมนุษย์ที่มีทุกข์ ได้นำไปปฏิบัติและเป็นสรณะที่พึ่งอันแท้จริง ซึ่งหลวงปู่ทวดและสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) ได้ช่วยเหลือและสั่งสอนธรรม โดยผ่านญาณ ( ร่าง ) ท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นฆราวาสอยู่ แม้ว่าเรื่องราวคำสอนต่างๆที่ท่านได้เทศน์เอาไว้จะผ่านมาเกือบสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ปฏิบัติจะพึงได้รับ



จึงอยากเผยแพร่เป็นธรรมทาน เพื่อให้ผู้ที่มีศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ได้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และนำธรรมะที่ท่านได้อ่านนั้น ไปพัฒนาจิตใจ ปรับปรุง กระทำ ตนให้เกิดประโยชน์ เพื่อให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป ปัจจุบัน สำนักปู่สวรรค์ อาจจะไม่เป็นเหมือนตอนที่ท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะไม่มีการมาเทศน์สอน ไม่มีการรักษาโรค ขององค์หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต และท้าวชินนะปัญชนะ เนื่องจากท่านอาจารย์ได้บรรพชาเป็นพระภิกษุ ปัจจุบันท่านละสังขารแล้ว และสรีระสังขารท่าน ถูกเก็บรักษาในโลงแก้ว ณ อุทยานศาสนาพระโพธิสัตว์กวนอิม จ.เพชรบุรี )



ภายหลังจากที่หุบผาสวรรค์เมืองศาสนาได้ถูกปิดลง ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่นหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาที่สร้างขึ้น ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาถ้ำพระ ทำให้ไปขัดผลประโยชน์แก่เหล่านายทุน ที่ต้องการระเบิดหินบนเทือกเขาถ้ำพระ ประกอบกับการทำงานของสำนักปู่สวรรค์ขณะนั้น ไปไกลจนถึงต่างประเทศระดับนานาชาติ ทำให้รัฐบาลสมัยนั้นตามไม่ทัน โดยท่านอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ได้เดินทางไปพบ ผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการเมือง ผู้นำองค์กรที่สำคัญต่างๆ เพื่อให้ผู้นำเหล่านั้นได้ตระหนักถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆโดยใช้พลังศาสนา เพื่อให้เกิดความสงบสุขเพื่อภารดลภาพและสันติภาพในโลกมนุษย์ รณรงค์ให้ลดการผลิตอาวุธต่างๆ รณรงค์ให้มีการรับประทานอาหารมังสวิรัติ


ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิของทุกท่าน แต่ธรรมะและความดีงามยังปรากฏอยู่เสมอ เมื่อท่านได้ศึกษาและเข้าถึงด้วยปัญญาจากธรรมะ ที่พระโพธิสัตว์หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ได้ฝากเอาไว้ในโลกมนุษย์นี้

มนุษย์ตายแล้ววิญญาณไปไหน
( วันที่ ๕ สิงหาคม พ..๒๕๑๖ )
สมเด็จพุฒตาจารย์โต พรหมรังษี เทศน์ผ่านญาณ (ร่าง) อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์

พระธรรมวราลังการ : กระผม อยากจะขอศึกษาเรื่องวิญญาณ เรื่องวิญญาณนี้มันยังลี้ลับอยู่มาก เวลาคนตายแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปอย่างไรครับ 


สมเด็จ    : เจริญพร ก็เรียกว่า วันนี้มีพระถาม คือเรียกว่าเจ้าคุณสามัญเขาก็เรียกสิบตรี เจ้าคุณราชก็เรียกสิบโท นี่เจ้าคุณธรรม ก็สิบเอกแล้ว ก็ได้มาถามสมเด็จ สมเด็จนี่นายพลแล้วเว้ย 


ก็ได้ถามถึงเรื่องวิญญาณว่า มนุษย์ตายแล้ววิญญาณไปไหน แล้วเหตุไฉนสมเด็จโตทิ้งร่างจากโลกมนุษย์นี้ไปเป็นร้อยปี ทำไมยังมาคุยกันได้ ภาวะอันนี้เป็นคำถามง่ายๆ แต่ว่าถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดามันตอบยาก แต่นี่เป็นสมเด็จโต มันหัวแหลมยิ่งกว่าลิง มันไปไหว 


ก็คือในสภาวะต้องเข้าใจว่า มนุษย์เรานี้เกิดจากอะไร การเป็นคนนี้ไซร้ สืบเนื่องจากว่า เรามีภาวะแห่งการวิบากของตน ที่จะมาพัวพันกับบิดามารดาที่จะมาเป็นพ่อเป็นแม่ในปัจจุบันชาติ เป็นจุดแห่งสมุฏฐานในการที่จะเกิดเป็นคนก่อน

ทีนี้ ในเรื่องวิญญาณนี้ เป็นเรื่องละเอียดถี่ยิบ ที่จะอธิบายให้รู้กันภายในชั่วโมงเดียว หมดเรื่องของโลกวิญญาณย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันมีแง่ และมีข้อที่จะต้องคุยกัน เรียกว่าพูดกันตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๑๐ วัน ไม่จบเรื่องวิญญาณ
การตาย ๓ ลักษณะ ก็มาสรุปให้ว่า คนเราตายไปแล้วจะนั้นไปไหน ในเรื่องแห่งการตายนี้มีอยู่ ๓ ประการ
๑.     ตายเพราะหมดอายุขัย
๒.     ตายเพราะกรรมวิบาก ( ตายไม่ถึงอายุขัย )
๓.     ตายเพราะอสูรฆ่า หรือ วิญญาณแกล้ง
นี่คือการแยกแยะในเรื่องการตาย ทีนี้เราจะมาอธิบายถึงการตายทั้งสามประการนั้นเป็นอย่างไร

ตายหมดอายุขัย


ถ้าท่านสืบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คนเฒ่าคนแก่ ผู้ที่เป็นบิดามารดาหรือว่าญาติโยมของเรา เกี่ยวกับคนตายนี้ เขาก็จะบอกว่า พ่อแม่ของเขาก็ดี ก่อนที่จะตายนั้น จะต้องมีลางสังหรณ์ ก็คือว่า... 

ถ้าท่านตายถึงอายุขัย ภายใน ๓ วัน ก่อนตายนั้น ท่านจะมีจิตใต้สำนึกอันหนึ่งว่า เรานี้จะต้องจากโลกมนุษย์ ถ้าบุคคลนั้นทำดีก็จะมีพรหมทูตมารับ ทำดีพอประมาณเขาก็จะมีเทวทูตมารับ ทำไม่ดีจะมียมทูตมารับ 


        
เขาส่งมาเพื่อที่จะมารับวิญญาณนั้นๆ แล้วเขาจะนำท่านไปสู่ศูนย์รวมกรรม มนุษย์ที่จะสำเร็จอะไรก็แล้วแต่ ต้องไปสู่ยมโลก ที่นรกขุมที่ ๑ ก่อน เป็นหลัก เรียกว่าเป็นเมืองแห่งวิญญาณปุตุ เมืองแห่งการรวมกรรมทั้งหลาย 


แล้วท่านจะเห็นว่า ถ้าคนตายใหม่ๆ ๖ วัน ๗ วัน ในบ้านจะครึ้มๆ ไม่มีอะไร แต่หลังจาก ๗ วันแล้ว ทำไมในบ้านเกิดมีหมาหอนบ้าง มีคนเห็นคนตายมาในบ้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่า เมื่อเขาตายถึงอายุขัยแล้วไซร้ เขาไปถึงยมโลก ยมบาลก็ดี นายนิติยบาลก็ดี จะบอกให้รู้ว่า ขณะนี้เองได้ตายจากโลกมนุษย์มาแล้ว ได้มาสู่ยมโลก พลังแห่งการมาสู่ยมโลกนี่แหล่ะ

 

ท่านจะต้องเสวยกรรมวิบาก ฉับพลันแห่งจิตวิญญาณในขณะนั้นจะรู้สึกหดหู่ แล้วมีจิตแห่งการสำนึกที่จะคิดถึงบ้าน ก็จะขอว่าระหว่างที่ยังไม่ได้ตัดสินนั้น ขอให้นายนิติยบาลพาฉันมาเยี่ยมญาติโยมบ้างได้หรือไม่ เขาก็อาจจะอนุญาตให้มา ก็พามา พลังแห่งการพามานี้ จะทำห้างบ้านเกิดว่า เห็นอะไรขึ้นมา 


การที่วิญญาณไปสู่ยมโลก แล้วกลับมาเที่ยวบ้านนี้ มาถึงเขาก็จะแน่ใจว่า เขานี่ตายแล้วจริงๆคือเขามาคุยกับคนในบ้าน คนในบ้านก็ไม่คุยด้วย เขารู้สึกแปลกใจ จึงรู้ตัวว่าตายแล้วจริง หลังจากนั้นเขาก็ต้องกลับไปสู่การเสวยกรรมวิบาก ทั้งนี้ แล้วแต่กุศลและอกุศลทั้งหลายที่เขากระทำ

มนุษย์เรานี้ ทุกคนอายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี แล้วก็ต้องตาย ฉะนั้น ท่านจงหมั่นทำความดี แล้วจะดี

จดหมายเตือนจากยมบาล



มีเรื่องหนึ่ง ยมบาลได้ตัดสิน ได้พาวิญญาณยายแก่คนหนึ่งมา คนนั้นก็บอกว่า นี่ยมบาล ฉันยังไม่ได้ทำความดีเลย ทำไมจึงรีบจับฉันมาเล่า 


ยมบาลก็บอกว่า ไอ้มนุษย์เฮงซวย ที่มึงไปเกิดทำไมไม่ทำความดี มึงมัวไปนั่งทำอะไร มัวแต่ไปนั่งเคี้ยวหมาก ไปนั่งคุย แล้วบอกว่าไม่มีเวลานี่ อย่าพูด เพราะธรรมชาติเขาสร้างให้ ๒๔ ชั่วโมง นอน ๘ ชั่วโมง ทำงาน ๘ ชั่วโมง พักผ่อน ๘ ชั่วโมง
 

ตอนที่เอ็งมีชีวิตอยู่น่ะ ยมบาลเขามีจดหมาย ๓ ฉบับ ลงทะเบียนมาให้ทุกคน คือเมื่ออายุ ๓๐ กว่า ผมจะร่วง หน้าจะเริ่มเหี่ยว เตือนว่าไอ้หนูเอ๋ย มึงใกล้จะกลับบ้านเก่าแล้ว ต้องทำความดีเสีย 


ต่อมาจดหมายฉบับที่ ๒ เมื่อท่านอายุ ๔๐ กว่าๆ ถึง ๕๐ กว่า ตาจะเริ่มมัว นี่คือจดหมายฉบับที่ ๒ เตือนอีกว่าจงทำความดีเสีย 

จดหมายฉบับที่ ๓ อันนี้อายุ ๕๐ กว่าๆ ถึง ๖๐-๗๐ กว่า ตอนนี้ก็จะเริ่ม ป้ำๆ เป๋อๆ เป็นการเตือนว่า ใกล้กลับบ้านแล้ว 


ทีนี้บางคนเขาก็รู้สำนึก ก็รีบทำสมาธิ ถ้าไม่รู้สำนึก ก็ไปห่วงบ้าน ห่วงเมีย อะไรก็ว่ากันไป อันนี้ก็เรื่องของมนุษย์ นี่หมายความว่าตายถึงอายุขัย

ตายเพราะกรรมวิบาก

สมเด็จ : ประการที่สอง ตายด้วยกรรมวิบาก ที่เรียกว่าไม่ถึงอายุขัย เช่นว่า สมมุติคนนั้นกำลังป่วย ไม่สบาย ด้วยอกุศลวิบากที่ตนสร้างมาในอดีตฉับพลัน กายเนื้อไม่ทำงาน กายใน สายในแห่งจิตวิญญาณได้ถูกตัดออกฉับพลัน

     เขาจะรู้สึกว่า ทั้งๆที่ป่วยอยู่ เอ๊ะ ทำไมเราถึงไม่ป่วย แข็งแรง เราทำไมจึงเดินได้คล่อง แต่ว่าไปคุยกับคนโน้นคนคนนี้ เขาก็ไม่คุยด้วย ไปคุยกับใครก็ไม่มีใครคุยด้วย ก็เรียกว่า วิญญาณนั้น จะเพ่นพ่านอยู่ในบ้าน ๗ วัน

หลังจาก ๗ วันแล้ว เขารู้แน่ว่าเขาตายแล้ว พลังอันนี้เขาจะพุ่งออกจากบ้านทันที โดยไม่เหลียวแล อันนี้เขาเรียกว่า วิญญาณอิสระ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวิญญาณพเนจร

ตายเพราะอสูรฆ่า



สมเด็จ :  ประการที่ ๓ ตายเพราะอสูรฆ่า หรือวิญญาณพวกปิศาจอะไร
ทำไมอสูรจะต้องมาฆ่าคนตาย อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด
ท่านเชื่อหรือไม่ว่านรกมี สวรรค์มี นรกเป็นที่จองจำวิญญาณมนุษย์ที่ทำความชั่ว หลังจากตายจากโลกมนุษย์ไปแล้ว เขาเรียกว่า วิญญาณปุตุ เหล่านี้ ก็มีพวกอสูรจำศีลแล้วก็รู้สำนึก

อสูรก็เกิดจากวิญญาณแห่งการเป็นมนุษย์นี่แหละ ไปอยู่นรก จำศีล ก็เรียกว่า สำนึกผิด ทีนี้ เมื่อจำศีลนานๆเข้า ผู้ที่มีกรรมพัวพันกับเขาในโลกมนุษย์ก็ไม่มี เมื่อไม่มี เขาเป็นวิญญาณอิสระพ้นจากนรกโลก คิดอยากจะเป็นมนุษย์

เพราะว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้ ถือว่าดี ประเสริฐ สามารถที่จะบำเพ็ญไปนิพพาน ไปเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันต์แห่งยุคในอนาคต อธิฐานเป็นพระพุทธเจ้าแห่งยุคได้ ไปแดนนิพพานได้ง่าย ดีกว่าอยู่ในโลกวิญญาณบำเพ็ญ อยู่ในโลกวิญญาณบำเพ็ญไปแค่อนาคามี โสดาปัตติมรรค และพระปัจเจกโพธิเจ้าได้ แต่จะเป็นพระโพธิสัตว์นั้นไม่ได้

อสูรสร้างกรรมพัวพัน




สมเด็จ :  ฉะนั้น อสูรเหล่านี้ ก็คิดว่าโลกมนุษย์จะเป็นที่สร้างกุศล ทีนี้เมื่อจะสร้างกุศล มันก็ต้องมีสมุฏฐานแห่งการเกิด คือต้องมีกรรมพัวพัน
         เมื่อวิญญาณอสูรมาสู่โลกมนุษย์แล้ว ไม่มีกรรมพัวพันกับมนุษย์ใดเลย เขาก็ไม่สามารถเกิดได้ เขาก็หาวิธีโดยการฆ่ามนุษย์ คือมนุษย์ที่ดวงตก นั่นถือว่าสร้างกรรมปัจจุบัน

         เพราะคนที่ตายนั้น แน่นอนจะต้องมีลูก หรือ มีหลาน มีเหลน มีผัว มีเมีย มีอะไรเยอะแยะที่จะต้องมีกรรมพัวพัน เมื่อเขาฆ่าคนตายก็ทำให้เขามีกรรมพัวพันในครอบครัวนั้น อสูรนั้นก็สามารถปฏิสนธิในครรภ์ผู้ที่มีกรรมพัวพัน ที่ถูกเขาฆ่าตายแล้วก็เกิดได้ นี้คือวิญญาณตายโดยถูกอสูรฆ่า

สานุศิษย์ :   มีบางคนบอกว่า วิญญาณที่ออกจากร่างไปแล้ว ต้องมีผู้มารับ ถ้าไม่มารับก็ไปไม่ถูก
สมเด็จ    :  ถ้ามีผู้มารับ ก็หมายความว่าเขาตายถึงอายุขัย เข้าใจหรือยัง เมื่อตายถึงอายุขัยก็ต้องมีพรหมทูต เทวทูต ยมทูต มารับ แต่ถ้าตายยังไม่ถึงอายุขัย ก็ไม่ไปรับ
วิญญาณอิสระหากินกับมนุษย์



สมเด็จ : ทีนี้ก็มาสู่อีกเรื่องหนึ่ง เช่น บางคนได้ฝึกสมาธิมาบ้าง หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ พอตายไปเป็นวิญญาณพเนจร วิญญาณอิสระ วิญญาณอาละวาด

     พวกนี้เขาอาจจะมายืมร่างมนุษย์ที่มีจิตอ่อน หรือว่าที่มีกรรมพัวพัน หรือว่าผู้ที่ดวงตก มาเข้า คือมาหากินกับมนุษย์ พอมาถึงบางทีก็อ้างเป็นพระพุทธเจ้ามาเลย บางทีก็อาจเป็นสมเด็จโตมา อะไรมาก็ดี แล้วทำไมโลกวิญญาณไม่จัดการกับวิญญาณพวกนี้

เพราะโลกวิญญาณเขามีความยุติธรรม เขาเคารพกฎแห่งกรรมในขณะที่เขายังไม่ถึงเวลา หรือว่าไม่ถึงอายุขัย สมมุติว่า เขาส่งพรหมทูต เทวทูต ยมทูต หรือว่ายมบาลมาว่ากล่าวตักเตือน มันจะถุยน้ำลายต่อหน้ายมบาล ถุยเข้าหน้ายมบาล ยมบาลก็ต้องทนเอา เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำลายมันไป ทำอะไรมันไม่ได้ คือยังไม่ถึงอายุขัย

สมมุติว่า เขาอายุขัยถึง ๑๐๐ ปี แต่อายุ ๓๐ ปีกว่า ตาย หรือว่า ๔๐ ตาย มันก็จะเหลือเวลาอีก ๖๐-๗๐ ปี มันก็อาละวาดของมันจนครบ ทีนี้เมื่อมันครบถึงอายุขัย เขาก็จับไป ยมบาลก็คิดบัญชี เขาเรียกว่ามีบัญชีทิพย์ ๓ โลก ของพรหมโลก เทวโลก ยมโลก ก็บอกว่า มนุษย์ผู้นี้ก่อนตายทำอะไร ยมบาลก็บอกว่า มันตายไม่ถึงอายุขัย แล้วมันก็ไปอาละวาด พอเราไปตักเตือนเอ็ง เอ็งก็ถุยน้ำลายใส่กู ฉะนั้นกูก็ต้องเตะตูดเอ็ง ๓ ที ในฐานะถุยน้ำลายใส่กูก่อน นี้เขาเรียกคิดบัญชีกัน

เรื่องนี้ถ้าคนไม่เข้าใจ เล่าไปก็กลายเป็นเรื่องนิยาย เพราะมันเป็นเรื่องลี้ลับ เรื่องของนามธรรม เรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องอจินไตยเรียกว่าใช้สมองธรรมดาคิดไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่จะต้องฝึกให้ถึงกายในกาย ถึงจิตในจิต ถึงธรรมในธรรม ถึงวิญญาณในวิญญาณ

จึงสามารถรู้เรื่องเหล่านี้ละเอียดได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎของพรหมโลก เทวโลก กฎของเทวโลกก็ดี แต่บางอย่างเขาก็ไม่ค่อยยอมให้พูดมาก แล้วก็บางแห่งเขาก็ไม่ให้สมเด็จโตไปเที่ยว เพราะเขาบอกว่า สมเด็จโตนี้รู้อะไรนิดหน่อยก็มาพูดให้มนุษย์รู้หมด

ฉะนั้น สรุปการตาย ๓ ประการ คือ

ตายถึงอายุขัย ก็มีวิญญาณเทพพรหมมารับ หรือยมบาลส่งยมทูตมารับ
ถ้าตายยังไม่ถึงอายุขัย เขาอาจจะอยู่ที่บ้าน เพ่นพานสัก ๗ วัน ๑๐ วัน แล้วเขาอาจจะไปเที่ยวตามเรื่อง หรือไปหลอกคนนั้น คนนี้ สำหรับคนขี้ตืดก็เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์
ถ้าตายอย่างอสูรฆ่า เขาก็อาจจะอยู่กับเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น แล้วแต่เจ้าที่เจ้าทางเขาจะเอาไว้เป็นลูกน้องหรือไม่ นี่สำหรับการตาย ๓ แบบ ส่วนการเกิดก็มี เกิดมาผลาญ เกิดมาใช้หนี้ เกิดมาทำความดี นี่ก็สามเกิดเหมือนกัน แล้วเรื่องเกิด เรื่องตาย ถ้าจะอธิบายกัน คืนนี้ถึงเที่ยงคืนก็ไม่จบ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์



สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของนามธรรมที่จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ มีอยู่ทั่วไปในพิภพจักรวาล
ประเทศไทยเราครองเอกราชมาได้จนทุกวันนี้ เป็นเพราะบรรพบุรุษของเรามีศาสนา และเชื่อมั่นในศาสนา
ถ้าเราไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเราไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประเทศไทยก็มิอาจดำรงความเป็นเอกราชได้มาจนถึงทุกวันนี้

สิ่งลี้ลับ



คนที่ฝังใจในการบอกเล่ามาอย่างผิดๆ หรือศึกษาเรื่องสิ่งลี้ลับมา เรื่องโลกวิญญาณ เป็นเรื่องของภูตผีปิศาจ เป็นเรื่องน่าเกลียด น่ากลัว หรือเป็นเรื่องสยองขวัญ ไม่กล้าศึกษาหาความรู้ หรือแม้จะกล่าวถึงก็รู้สึกขยาด ความจริงหาได้เป็นดังเช่นที่กลัวเกรงกันไม่ไม่

 

โลกวิญญาณ หมายถึง โลกอื่นซึ่งมีอยู่จริง ได้แก่ พรหมโลก เทวโลก และนรกโลก เป็นโลกที่มีสภาพสรรพสิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่าอณูปรมาณู ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติจิตจึงจะรู้และสัมผัสได้ 


เรื่องของสิ่งลี้ลับ เรื่องของจิตวิญญาณ มีหลักฐานปรากฏในตำราหรือคัมภีร์ต่างๆมากมายมาตั้งแต่โบราณกาล แต่ในยุคต่อมา เหล่าอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ เข้าไม่ซึ้งถึงสัจจะอันแท้จริง เขาเรียกว่า ตนปฏิบัติไม่ถึงก็บอกว่าสิ่งนั้นไม่มี เรื่องนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ได้ประทานโอวาทเพื่อเตือนสติมนุษย์ไว้ตอนหนึ่งว่า
“สิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ สิ่งเหนือความจริงที่จะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาเนื้อในโลกมนุษย์ยังมีอีกมากแต่มนุษย์รู้ไม่ได้ เพราะไม่ถึง ก็พลอยสำคัญผิดว่าคนอื่นก็ไม่ถึงด้วย” ฉะนั้น ท่านทั้งหลายก็ไม่ควรด่วนปฏิเสธเรื่องเหล่านี้


ความลี้ลับของวิญญาณ
( วันที่ ๒ กันยายน พ.. ๒๕๑๐ )



สานุศิษย์  :  หลวงพ่อสมเด็จครับ กระผมหัวใจหยุด และชีพจรหยุด แล้วก็ฟื้นขึ้นมาครับ
สมเด็จ     :  แล้วสภาวะนั้น รู้สึกเป็นอย่างไร ตอนจะหยุด
สานุศิษย์  :  เมื่อตอนเข้าไปอยู่ในห้องหมอสักสองสามชั่วโมง มันค่อยรู้สึกดีขึ้นครับ มีอาการสบายใจ
สมเด็จ     :  แล้วก็หยุดไปเฉยๆใช่ไหม
สานุศิษย์  :  ตอนนั้นผมไม่ทราบ เพราะไม่รู้สึกตัวเลยครับ
สมเด็จ     :   ในสภาพการณ์นี้ ต้องอธิบายถึงคำว่าอายุขัย  


ในสภาวะอายุขัยนั้นยังไม่สิ้นสุด การที่เข้าไปใหม่ๆนั้น ที่รู้สึกสบายใจขึ้นนั้น เพราะอะไรเล่า เพราะวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่เล็ก วิญญาณนั้นกระจายไปทั่วทั้งร่าง สภาวะวิญญาณรวมพลังอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง 


สภาพการณ์จะเห็นได้ว่า มนุษย์ที่จะตายนั้นจะรู้สึกเกิดอาการดีขึ้นแล้วค่อยตาย เสมือนหนึ่งเทียนนั้นจะดับจะต้องเกิดวูบขึ้นมา เพราะสภาวะแห่งการรวมไฟในจุดสุดท้าย มีพลังอันหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น วิญญาณนั้นก็รวมพลัง แต่วิธีการแห่งการรวมพลังของเรานั้น ไม่ใช่รวมแบบตายแท้ เรียกว่ารวมแบบตายเทียม คือสภาพการณ์เมื่อรวมกันเสร็จแล้วรู้สึกสบาย เสร็จแล้วก้รู้สึกวูบมืดไปใช่ไหม โดยไม่รู้สึกตัว

สานุศิษย์  :  ขณะที่ป่วยไม่รู้สึกอะไรเลยครับ
สมเด็จ  :  คือสภาวะอันนั้นเขาเรียกว่า วิญญาณนั้นได้ถอดออกจากสังขารไปชั่วขณะ วิญญาณนั้นสวมอยู่ในกาย วิธีการเรื่องนี้มันต้องอธิบายถึงเรื่องการแยกธาตุในสภาวะแห่งกาย แห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้งสี่ สมองกับใจนั้นร่วมประสาท ใจนั้นกับเส้นเอ็นรวมกันอยู่ที่หลังท้ายทอย ไตนั้นขึ้นอยู่กับท้อง


สภาพการณ์การเกิดเป็นมนุษย์นั้น เมื่อรวมพืชพันธุ์แห่งการเกิดเป็นมนุษย์เรียบร้อย คลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว วิญญาณนั้นได้เริ่มปฏิสนธิตั้งแต่แรก แต่ยังไม่มีพลังแห่งการแก่กล้า ต่อมาคลอดออกมาดูโลกแห่งการเป็นมนุษย์เรียบร้อยแล้ว วิญญาณนั้นสิงสถิตอยู่ในกายในกาย ต่อมาวิญญาณนั้นก็ได้รับการเลี้ยงดู ด้วยพืชพันธุ์ของการเป็นมนุษย์จนเติบโต วิญญาณนั้นรวมพลังแข็งแกร่งขึ้น ตามพลังของร่างกายที่โตวันโตคืน 


ในการเติบโตของร่างกายนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่ง มนุษย์ฝ่ายชายจะโตสูงใหญ่ขึ้นสองเมล็ดข้าวสาร มนุษย์ฝ่ายหญิงจะโตสูงขึ้นมา กว่าสามเมล็ดข้าวสาร หญิงนั้นจะโตเร็วกว่าชายในสภาวะธรรมชาติของมัน ในสภาพการณ์แห่งเนื้อหนังมังสารวมกับวิญญาณผสมอยู่ในนั้น เมื่อรวมพลังเติบโตขึ้นมา สังขารจะต้องมีการป่วย ร่วงโรยตามสภาวะแห่งสังขารขัย

            สภาพการณ์แห่งสังขารขันธ์นั้น เมื่อเราใช้พลังออกไป ในการพูดก็ดี ในการมองก็ดี ในการคุยก็ดี ในการทำอะไรก็ดี เมื่อทำแล้วเราไม่รู้จักพักผ่อน คือนั่งสมาธิรวมพลังจิตแล้ว ผู้นั้นสังขารจะร่วงโรยเร็ว

 

เพราะอะไรเล่า เพราะจิตวิญญาณไม่ได้รับการพักผ่อนในเวลาตื่นบางคราวถึงกับเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าวิญญาณถูกใช้พลังมากเกินไป เมื่อวิญญาณเสียพลัง สมองก็จะช้าลงไป เรียกว่าน้ำเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ เมื่อน้ำเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอต่อสมอง จะทำให้ผู้ป่วยนั้นตัวชาโดยไม่รู้สึกตัว เพราะสภาพชีวิต สังขารจะยืนอยู่ได้จะต้องมีเลือดแห่งการหล่อเลี้ยงในตัวก่อน

 

สภาวะแห่งการรวมพลังที่จะหลุดออกไปนั้น สภาพการณ์วิญญาณเราออกไปโดยที่เราไม่รู้สึกตัว ฉะนั้น เมื่อวิญญาณออกไป ยังไม่ได้ไปเจออะไร เกิดผวาขึ้นมา ตกใจว่าเรานี้อยู่ที่ไหนหนอ เมื่อยังไม่ถึงวาระแห่งการตายแท้ จึงไม่มียมทูต เทวทูต พรหมทูต มารับ และสังขารนั้นยังไม่เน่าเปื่อย สภาพการณ์เมื่อวิญญาณตกใจว่าอยู่ที่ไหน จะรีบวิ่งกลับเข้าในสังขารของตัวทันที เข้าใจไหม
สานุศิษย์ : พอจะเข้าใจครับ
    
      แดนนิพพาน
( วันที่ ๑๒ มิถุนายน พ..  ๒๕๑๔ )



คุณส่งศักดิ์ น้อมศิริ   :  หลวงพ่อครับ พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะไปพบกันในแดนนิพพานหรือครับ
สมเด็จ   :  พูดถึงการสำเร็จพระนิพพานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้น ก่อนอื่นต้องถามท่านว่า ท่านเชื่อว่าโลกหน้ามีจริงหรือไม่

ถ้าท่านปฏิเสธว่าโลกหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ ในเรื่องพระนิพพานเรื่องปรภพย่อมไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าท่านเชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ ในเรื่องพระนิพพานเรื่องปรภพย่อมมี


ภาวะแห่งปรภพย่อมมีนั้นเขาถือว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ เพราะเป็นกัปหนึ่งของในยุคนั้น ที่จะต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งยุคมาเผยแผ่สัจจะให้มนุษย์ทั้งหลาย เข้าซึ้งถึงหลักแห่งความจริงของการเป็นคน หลักแห่งความจริงของธรรมะ หลักแห่งความจริงของสัจจะ ทั้งสุจริตสัจจะและทุจริตสัจจะ เขาเรียกว่า สัจจะแห่งความดีย่อมเป็นดี สัจจะแห่งความชั่วย่อมเป็นชั่ว มีอยู่ในธรรมชาติ
ดังเช่นศีลห้า ศีลห้ามีอยู่แล้วในพิภพ แต่ว่าท่านจะรักษาได้หรือไม่อยู่ที่ตัวท่านเอง พระให้ศีลท่านไม่ได้หรอก ศีลมีอยู่แล้วตามธรรมชาติของโลก คือมีอยู่แล้วตั้งแต่ท่านกำเนิด แต่ท่านจะเข้าถึงศีลหรือไม่ นี่คือจุดที่ว่า ท่านจะเข้าสู่การเป็นอุบาสก อุบาสิกาอันแท้จริงหรือไม่ในการถึงในรัตนะของสัมมาสัมพุทธะ
ทีนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ เมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์นั้นย่อมสู่ปรภพ ภาวะแห่งการสู่ปรภพนั่นแหละ เรียกว่าไปอยู่แดนอรหันต์ จนกว่าศาสนาที่พระองค์รับผิดชอบหมด พระองค์จึงจะเข้าสู่แดนนิพพาน พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งกับพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งระยะเวลาห่างกันเป็นกัป ฉะนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าองค์โน้นเข้าสู่แดนนิพพาน ย่อมตามกันไม่ทัน เพราะฉะนั้นจะไม่พบกันแดนนิพพาน แต่จะพบเหล่าอรหันต์ เหล่าสกิทาคามี อนาคามี โสดาปฏิมรรค และเทพพรหมชั้นสูง ในสวรรค์ชั้นที่ ๑๓


ความพิสดารของโลกสวรรค์
( วันที่ ๒ กันยายน พ.. ๒๕๑๐ )




สมเด็จ : เป็นอันว่าหนังสือนั้นก็จะคลอดแล้วตามสภาวะของมัน สภาพการณ์บัดนี้ก็เป็นการว่า มารทางโลกวิญญาณนั้นได้สงบศึก คือยุติในการขัดขวาง สภาวะอันนี้ จะต้องเล่าถึงว่าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร

สวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น เลยห่างจากดวงอาทิตย์แปดหมื่นสี่พันโยชน์ สภาวะสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น ก็ไม่มีดวงอาทิตย์แล้ว เรียกว่าอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เพราะฉะนั้น การไปสวรรค์ไม่ใช่ไปด้วยจรวด ไม่ใช่ไปด้วยการสร้างโน่นสร้างนี่ของมนุษย์ แต่ต้องไปด้วยจิตและวิญญาณที่ฝึกแล้วเท่านั้น

ฉะนั้น ต่อไป รออาตมามีเวลาว่าง อาตมาจะมาอธิบายถึงความพิสดารของการเป็นอยู่ของโลกสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่ง ถึงชั้นที่สิบห้าเป็นอย่างไร

วันนี้จะมากล่าวถึงเรื่องของกองทัพมารที่ผจญในการสร้างหนังสือนั้นเป็นกองทัพจากที่ไหน สภาวะของกองทัพมารทัพนี้ อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หก สวรรค์ชั้นที่หกนี้มีทั้งกองทัพมาร กองทัพเทวะ และกองทัพพรหม เรียกว่าปรมัตถสวรรค์ ซึ่งมีเทวราชเป็นผู้เป็นใหญ่ มีมารราช มารผู้เป็นใหญ่แห่งกองทัพมาร รวมกันอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ และมารเหล่านี้เป็นมารกลุ่มแห่งการมีฤทธิ์เดช

ในการเป็นอยู่ของสวรรค์แต่ละชั้นนั้น มีเหตุแห่งการต้องจุตินั้น มีอยู่ ๓ ประการ คือ
๑.      หมดอายุขัยแห่งการเสวยทิพย์ หรือหมดบุญ
๒.      เพราะความโกรธ
๓.      หมดอาหาร
สภาวะอันนี้ต้องขยายความในแต่ละเรื่อง



ประการที่หนึ่ง คำว่าหมดอายุขัยนี้ อยู่ในกฎแห่งคำว่าเสวยบุญในโลกทิพย์ สภาพการณ์วิญญาณใด เมื่อมีบุญกุศลที่สร้างมาแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นใดๆก็แล้วแต่  เมื่อหมดบุญก็ต้องจุติจากสวรรค์ ลงมาเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง แล้วแต่กุศลที่สร้างจากอดีต และปัจจุบันชาติที่อยู่บนสวรรค์

ประการที่สอง คือ พิโรธ หรือว่าโกรธ เทวะบางกลุ่มยังมีความโกรธ ถ้าเกิดความโกรธสุดขีดไฟจะไหม้ตัวเอง

ประการที่สาม คือ ลืมกินอาหาร จนต้องตาย สภาพการณ์ คือว่า เหล่าเทพบุตรที่หลงอยู่ในกามคุณ เพลินอยู่กับนางฟ้าจนลืมกินอาหารแม้เพียงแต่มื้อหนึ่งก็ต้องจุติลงมาเกิด

 

สภาวะอันนี้เพราะเหตุใดเล่า เพราะวิญญาณนั้นอ่อนนิ่มเสมือนหนึ่งดอกไม้ นี่คือสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง สภาวะเมื่อหมดอาหาร หมดน้ำหล่อเลี้ยงดอกไม้นั้นเน่าตามสภาวะ เพราะไม่มีรากลงดินก็ต้องตาย เสมือนวิญญาณเล่านี้เมื่อลืมกินอาหารเพียงมื้อเดียว ก็ต้องจุติจากสวรรค์สิบห้าชั้น แต่ต้องรออาตมามีเวลาก่อน เพราะเรื่องนี้ต้องอธิบายกันยาว และการจะเปิดเผยในเรื่องของโลกสวรรค์ทั้งสิบห้าชั้นนั้น ต้องอยู่ที่การอนุมัติของพรหมโลก เทวโลก นรกโลก แค่เพียงเล่ามาเท่านี้ ฟังกันแล้วก็งง ฟังแล้วก็ยุ่ง ก็ให้ถือว่าเป็นการฟังนิยายก็แล้วกัน


พระพรหมทำไมมีหลายหน้า
( วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.. ๒๕๑๓ )



สานุศิษย์  :  กระผมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อสมเด็จว่า พระพรหมนี้มีกี่หน้ากี่กรกันแน่ครับ เห็นที่สร้างไว้ต่างคนต่างทำ ไม่ทราบว่าของใครถูก


สมเด็จ  :  คือว่าในเรื่องของพระพรหมนี้ ในรูปพรหม ๑๖ ชั้นนั้น เขามีพรหมต่างๆหลายแบบ พรหมสี่หน้านั้นมีอยู่หลายองค์ ทั้งหมดเขาเรียกว่า ที่เป็นผู้นำพรหมโลกมีอยู่ ๔ องค์ ทีนี้ พรหมสี่หน้านั้นมี ๖ องค์ พรหมสองหน้านั้นมี ๑๕ องค์ พรหมหน้าเดียวนั้นมีอยู่มาก


ทีนี้ทำไมพระพรหมเหล่านี้จึงมีสี่หน้า สามหน้า สองหน้า แปดกร หกกร สี่กร สองกร อันนี้เป็นการเรียกว่า พรหมเหล่านี้เป็นพรหมที่มีหน้าที่รับผิดชอบ และเขามีอำนาจแห่งฌานญาณสูงมาก สามารถที่จะแบ่งรัศมีในกายนี้
 

เพราะเมื่อมีหน้าที่ในการรับผิดชอบงานมาก การที่จะดูแลสอดส่องทั่วไป ก็บอกว่าหน้าเดียว ตาคู่เดียวนี้ มันมองไม่ไหว ก็เลยเนรมิตขึ้นมาอีกหน้าหนึ่ง ตาคู่หนึ่ง มาช่วย อีกหน้าหนึ่งตาคู่หนึ่งก็ยังช่วยไม่ไหว ก็เนรมิตขึ้นมาอีกหน้าหนึ่ง อันนี้อยู่ในภาวะของกายทิพย์


 

ทีนี้ ส่วนมากที่เขาทำถึงแปดกร สิบกร ยี่สิบกรนั่นมนุษย์ยุคต่อมาต่อเติมให้มันมาก ตามความจริงแล้วสี่หน้าก็สี่กรเท่านั้นเอง เพราะว่าสภาวการณ์แห่งการเนรมิตนี้เป็นอยู่ในกายทิพย์ การที่มีหลายๆหน้า เพราะว่าพรหมเหล่านี้ ต้องเป็นผู้ดูแลในการเป็นอยู่ของพรหมโลก และต้องดูแลในการขจัด ในการที่จะต้านของเหล่ามาร ที่จะมีการรังควานในการนั่งสมาธิของพรหมก็มี อันนี้อยู่ที่อำนาจทิพย์ด้วยและสามารถกลับสู่หน้าเดียวก็ได้แล้วแต่ปรารถนา


 

อันนี้อาจจะถามว่า เหตุไฉนพระพรหมชินนะจึงไม่ต้องมีหลายหน้าเพราะว่า พระพรหมชินนะนั้นมีรังสีแห่งวรกาย ของแก้ว ๗ ชั้นคลุมอยู่ จึงไม่ต้องใช้หน้ามาก เพียงแต่รัศมีแผ่ไป พรหมก็รู้ พวกมารหรือพวกอะไรเขาก็รู้ นี่พรหมองค์นี้มา ก็คือสัญลักษณ์ท้าวมหาพรหมชินนะมา จึงไม่ได้เนรมิตในร่างกายให้ผิดแปลกกว่าเขา 


สานุศิษย์ :  ตามหลักแล้วหน้าหนึ่งจะต้องสองกร ทีนี้บางคนเอาหน้าหนึ่งสี่กร


สมเด็จ    :  อันนี้ก็เพราะมาต่อเติมกันต่อมา นักปั้นต่อมา ก็จากจินตนาการให้มันว่า ต้องเพิ่มกรเพิ่มอะไร อันนี้เขาเรียกว่า ถ้าท่านติดในเรื่องสมมุติแล้วไซร้ ท่านย่อมไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส


     เพราะฉะนั้น องค์สมณโคดมเมื่อประกาศศาสนาอยู่ จึงว่า แม้แต่ตถาคตท่านก็อย่าติด ถ้าท่านติดตถาคต ท่านก็ไม่รู้จักการเป็นพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรเพราะนี่คือสัจธรรมอันแท้จริง



ก่อนที่องค์สมณโคดมจะปรินิพพานสามเดือน ก็ได้พยายามเตือนพระอานนท์ว่า

 

“ อานนท์เอ๋ย เจ้าทราบแล้วมิใช่หรือ การอาราธนาของมารร้าย ในการสิ้นอายุขัยของสังขารของตถาคตนี้ อานนท์เอ๋ยจนบัดนี้ เวลาล่วงเลยมาแล้วใกล้สามเดือน ตถาคตถึงจุดแห่งความปรินิพพาน ทิ้งสังขาร อานนท์เจ้าทำไมหนอจึงติดตถาคตอยู่แจเล่า อานนท์เอ๋ย เจ้าจะรู้หรือว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เมื่อเจ้าไม่ทิ้งการติดตถาคต


เพราะฉะนั้นนี่เป็นพุทธพจน์ในการยืนยันว่า องค์สมณโคดมไม่ได้ส่งเสริม ในการประกาศศาสนาให้ติดรูป เมื่อไม่ส่งเสริมในการประกาศศาสนาให้ติดรูป จึงอยู่ยืนยงคงมาถึงปัจจุบันนี้ แห่งการที่เรียกว่าศาสนาพุทธคงทนต่อการพิสูจน์ ในการเพื่อที่จะค้นหาเหตุผลไปสู่หลักแห่งปัจจัตตัง ในการคู่กับวัตถุ


สานุศิษย์ :  เมื่อไม่ให้ยึดในตัวตนแล้ว ทำไมบอกว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน


สมเด็จ   :  การที่ให้ในกฎ อัตตาหิ อัตโนนาโถ นี้แหละ เป็นการที่ไม่ให้ยึดตน ทำไมอาตมาจึงอรรถาธิบายเช่นนี้ เพราะว่า ถ้าท่านไม่พึ่งตัวท่านเองแล้ว ใครเขาจะช่วยท่านได้เล่า

 

ถ้าในการบันดาลของเทพเจ้าแล้ว ท่านไม่ทำ เทพเจ้าก็ช่วยท่านไม่ได้ อย่างเช่นง่ายๆ ทำไมจึงให้ว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ เวลาท้องเอ็งหิวข้าวนี่ ถ้าเอ็งไม่กินแล้ว ใครที่ไหนเอาให้กินได้ ถ้าตัวไม่ช่วยตัวเอง เพราะฉะนั้นพุทธพจน์ข้อนี้เป็นปัจจัตตัง ในการว่าตัวท่านต้องช่วยตัวท่านก่อน แล้วพระเจ้าจึงช่วยตัวท่านได้


ตัวท่านไม่ปฏิบัติสมาธิแล้ว จะไปถึงสมาธิแห่งฌานญาณได้อย่างไร ตัวท่านไม่ทำในกรรมฐาน ในการวิปัสสนาแล้วนั่งคุยแต่พระนิพพาน เมื่อไหร่มึงจะถึงนิพพาน เวลานี้คุยกันแยะแต่ไม่มีใครทำ ศาสนามันจึงฟุ้งจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร เรียนกันใหญ่ เปรียญเก้าก็เยอะแยะ

 

เพราะฉะนั้น การศึกษาความเป็นจริงของศาสนาพุทธก็คือศึกษาให้หยุด ไม่ใช่ศึกษาให้ฟุ้ง เรียนในการทำเป็นพื้นฐาน ให้ปฏิบัติจิตของตนให้สิ้นอาสวะกิเลส เมื่อจิตนิ่งเป็นเอกะประภัสสรยิ้มผ่องใสแล้ว เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นสัจจะ อะไรเป็นธรรมะ อะไรเป็นอธรรม และจะรู้การเป็นอยู่ของเทพ พรหม ทุกวันนี้ไม่มีใครทำ มีแต่พูด พูดแล้วก็ไม่รู้จะเอายังไง กลับดีกว่า เพราะคุยไปก็เท่านั้นเอง


จะพ้นวัฏฏะได้อย่างไร
( วันที่ ๑๖ กันยายน พ..๒๕๑๐ )



สมเด็จ : สภาพการณ์แห่งการจะหลุดพ้นจากหลักแห่งวัฏฏะสงสารนั่นแหละจะต้องฝึกในด้านจิต


            มนุษย์ที่จะหลุดพ้นจากกฎแห่งวัฏฏะสงสาร หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้น จะต้องฝึกให้จิตนั้นอยู่ในสมาธิแน่วแน่

 

สมมุติว่าฝึกได้ฌานอะไรก็แล้วแต่ จะต้องพยายามฝึกต่อไปให้อยู่ในสภาวะบ่มไปเรื่อยๆ เพราะมนุษย์ระหว่างมีชีวิตมันยังจะต้องกินข้าวแล้วมันยังจะต้องขี้ออกมา เมื่อมันยังต้องกิน ต้องขี้แล้วไซร้ สภาวะจิตย่อมเปลี่ยนไปตามอารมณ์ คือเวลานี้ต้องเข้าใจว่า โลกมนุษย์มันกำลังหลง คือ ทิฐิมานะ


ในสภาวะแห่งฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี กรรมฐานก็ดี จะต้องอยู่ในสภาพแห่งความแน่วแน่จิตนั้นแน่นอนที่สุดอยู่ขั้นไหนนั้น จะต้องดูเมื่อตอนวาระสุดท้ายแห่งลมหายใจจะสิ้นออกจากสังขารและดวงวิญญาณจะไปด้วยกันนั้นแหล่ จึงจะรู้จริงว่าคนนั้นอยู่ในขั้นไหน สภาวะจิตตอนนั้นจะประมาทขนาดไหน สภาพการณ์จะหวาดกลัวต่อกรรมวิบากของตัว ที่จะเสวยในโลกวิญญาณหรือไม่

แต่เวลานี้เกจิอาจารย์มันแยะ มันอะไรกันก็ไม่รู้ ฝึกกันสามวันก็ได้ฌานโน้น ฌานนี้ อะไรก็ว่ากันไป
            เพราะฉะนั้น การที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ก็จะต้อง
๑.     จะต้องมีอภัยจิต อภัยจิตนี้เป็นสิ่งสำคัญของการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

๒.     จะต้องมีจิตสมาธิแห่งความแน่วแน่ในการนิ่ง แห่งการรับรู้สภาวะแห่งกระแสจิตให้สู่แนวนิพพาน คือนิพพานนี้เป็นสู่จุดว่างของการตั้งสัจจะที่จะไปถึง แต่ในสภาพการณ์ให้รู้อยู่ในฌานใดฌานหนึ่งก็ยังดี

๓.     จะต้องเลิกติดในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่ของคำว่าสมมติในโลกมนุษย์
เมื่อปฏิบัติอยู่ในหลักสามประการนี้ได้แล้วไซร้ ผู้นั้นย่อมสามารถหลุดออกจากคลื่นแห่งวัฏสงสาร


สำหรับบรรพชิตนั้น จะต้องรู้ว่า เรานั้นบวชเพื่ออะไร เป็นจุดสำคัญแห่งการคิด ว่าเรานี้คิดดีแล้วหนอ ที่เราสละตนตามรอยองค์สมณโคดม เรานี้เข้าซึ้งถึงสัจจะแห่งคำว่าธรรมะ เมื่อมีความคิดนี้อยู่ในจิตแล้ว ขั้นต่อไปจะต้องค้นว่า เหตุใดองค์สมณโคดมจึงค้นพบตัวรู้อันบริสุทธิ์ สภาพการณ์ถ้าจะเป็นผู้ที่อยู่ในผ้าเหลืองแล้วไซร้ จะต้องฝึกในหลักแห่งสามประการคือ

๑.     จะต้องมีความคิดแน่วแน่ว่าเรานี้บวชเพื่ออะไร เราบวชเพื่อค้นตัวพุทธะ เมื่อเราจะค้นตัวพุทธะแล้วไซร้ เราจะต้องไม่ทรยศต่อสัจจะของตัวเราเอง
๒.     จะต้องตั้งจิตแห่งความแน่วแน่ในการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
๓.     ในการโปรดสัตว์ จะต้องดูสภาวะจิตของมนุษย์ที่เราเข้าไปพัวพัน ควรโปรดผู้ที่ควรจะโปรด ควรพูดกับผู้ที่ควรจะพูด
ผู้ใดปฏิบัติได้ดังนี้ ผู้นั้นแหล่ คือผู้ที่จะเดินตามรอยองค์สมณโคดมที่แท้จริง

ทำไมจึงเกิดการตายหมู่
( วันที่ ๑๑ กันยายน พ.. ๒๕๑๔ )




สานุศิษย์ : มีข่าวว่ารถชนกันและเกิดการตายหมู่เป็นจำนวนมาก ทำไมจึงเกิดการตายหมู่ขึ้นครับ

สมเด็จ : พวกนี้เขาเรียกว่า ตายอย่างไม่ถึงอายุขัย สมมติรถคันหนึ่งมีคนดวงไม่ดี ๓๐ คน มีคนดวงดี ๑๐ คน คนดวงดี ๑๐ คนจะถูกคนสามสิบคนที่ดวงไม่ดีลากลงไปด้วย 


พวกนี้เขาเรียกผีตายโหง ตายห่า พวกนี้ถ้าเจ้าที่เจ้าทางไม่มีลูกน้อง ก็อาจจะเอาไปเป็นลูกน้อง ถ้ามีลูกน้องแล้วก็ไม่เอา ก็ปล่อยเป็นวิญญาณอิสระ วิญญาณอิสระเหล่านี้แหล่ ถ้าเขามีคุณธรรมเขาก็อาจจะไปหาที่บำเพ็ญได้ จนกว่าอายุขัยจะถึง ยมทูต เทวทูต พรหมทูต จึงมาหาวิญญาณนั้น มารับเอาไป

 

ถ้าวิญญาณที่ตายนั้นไม่มีคุณธรรมประจำใจแล้วไซร้ ก็จะทำความรังควาน ให้แก่ผู้ที่ดวงกำลังอับในโลกมนุษย์และวิญญาณเหล่านี้ เขาจะไปปลอมเป็นใคร หรือว่าจะไปเข้าใคร ถ้าเขาจะบอกว่า นี่ขรัวโตมานะก็ได้ โลกวิญญาณเขาจะยังไม่ลงโทษเลย โลกวิญญาณเขาถือว่ายังไม่ถึงอายุขัย


เพราะโลกวิญญาณเขาเคารพในกฎระเบียบอย่างแท้จริง ถ้าวิญญาณนั้นทำความดี เวลาคิดบัญชีในศูนย์รวมกรรมของโลกวิญญาณ ก็อาจไปเสวยกรรมดีได้ แต่ถ้าระหว่างตายแล้วนั้น วิญญาณยังไม่พยายามสร้างกุศล เมื่อถึงเวลาแห่งการคิดบัญชีของโลกวิญญาณแล้ว เขาก็จะลากวิญญาณนั้นไปเสวยกรรมในขุมนรกต่างๆ เหล่านี้คือพวกที่ตายยังไม่ถึงอายุขัย



พวกที่รถชนกันตายนี้ บางทีก็เป็นเพราะถูกอสูรฆ่า คือ อสูรที่บำเพ็ญจากนรกโลกเป็นกัป อสงไขย ที่จะมาเกิดในโลกมนุษย์ ก็จะสร้างกรรมพัวพันกับมนุษย์ที่ตาย เพราะมนุษย์คนหนึ่งๆเขาจะต้องมีญาติโยม ที่เรียกว่าสร้างกรรมพัวพันเพื่อหาที่เกิด เพื่อให้มีกรรมวิบากในการที่จะเกิดเป็นมนุษย์ โดยวิญญาณอสูรนี้ก็จะไปเกิดกับญาติของคนที่ตาย นี่คือการตายอีกอย่างหนึ่ง

 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มั่นอยู่ในศีลในธรรม และก็ไม่มีอกุศลกรรมวิบากขนาดหนัก หมั่นภาวนาสวดมนต์ไหว้พระ ผู้นั้นจะรอดพ้นจากภัยในการตายอย่างอสูรฆ่า หรือว่าในการตายอย่างรถชนเหล่านี้

ทีนี้ส่วนมากที่ตายกันในแบบนี้ เกิดจากมนุษย์ที่อยู่ในที่เดียวกันนั้น อยู่ในอกุศลกรรมวิบากมากย่อมดึงดูดผู้ที่อกุศลกรรมวิบากน้อยให้ต้องตายไปด้วย เช่น สมมติว่ารถคันหนึ่งมีคนดวงตก ๑๐ คน มีคนดวงดี ๑ คน คนหนึ่งคนนั้นย่อมถูกการดึงดูดของผู้ที่มีอกุศลวิบากบังไป ก็พลอยฟ้าพลอยฝนตายไปด้วย


พระนิพพานคืออะไร




สมเด็จ : ท่านทั้งหลายที่ปรารถนาในภาวะของคำว่า นิพพานัง ปรมังสุขัง นิพพานัง ปรมังสุญญัง
คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นี้ หมายถึงว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งและการที่ท่านจะถึงภาวะแห่งนิพพานนั้น ท่านต้องเข้าใจว่า พระนิพพานคืออะไร
หลักความจริง       การเป็นคน           เพราะมีกรรม
อดีตกรรม              นำตน                   สู่ภพเกิด
สภาวะ                   สิ่งแวดล้อม          ประภัสสร
การปรุงแต่ง           แห่งกายเนื้อ          ธาตุทั้งสี่
ความเคยชิน          มารดาสอน            บิดาเล่า
ทับถมเอา              ความจริงไซร้         ถูกแน่นิ่ง
ภาวะกรรม             ทำให้ท่าน              จิตฟุ้งซ่าน
ตามวาระ               วิบากรรม                ของโทสะ
เจ้าโทสะ              เข้าครอบกาย          ความเดือดร้อน
เจ้าโมหะ               เข้าครอบงำ            จิตปรุงใน
โลภไม่พอ             เจ้าโลภะ               โกยกันใหญ่ ให้วนเวียน
ภาวะนี้                  เข้าครอบงำ             บริสุทธิ์
ที่ตั้งตน                สวมกายเนื้อ             เข้าฉับพลัน
การเป็นคน            จะถึงจิต                  บริสุทธิ์
หมั่นตั้งรับ             ในศีล                      แห่งภาวะ
ศีลสมาธิ               เดินปัญญา              ให้หลุดพ้น
การถึงจิต              นิพพานนิ่ง               ยิ้มผ่องใส
หมายถึงท่าน         ชำระจิต                   วางให้หมด
จิตนิ่งไซร้              ไม่เกาะเกี่ยว             นิพพานเอย

คำว่านิพพานนั้น สภาวะนิพพานท่านเข้าใจว่า ถ้านิพพานระหว่างเป็นมนุษย์นั้น ก็คือว่า เราจะต้องไม่เกี่ยว ไม่ข้องกับโลก ทำอย่างไรจึงจะให้จิตนิ่ง ภาวะแห่งจิตหนึ่ง ท่านจะทำอย่างไร เราก็ต้องเดินตามแนวแห่งสัมมาสัมพุทธะที่องค์โคตมะได้วางให้เราเรียนรู้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา     
การเรียนลัดสู่นิพพาน



การที่ท่านบอกว่า จะเรียนลัดไปสู่แดนนิพพานนั้น ท่านทั้งหลายสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ เขาเรียกว่า เป็นการสอนที่ว่าเอาใจคน


ท่านลองคิดง่ายๆสิว่า สภาวะแห่งธรรมชาติ เมื่อท่านเกิดมาเป็นคนใหม่ๆ หลังจากอยู่ในท้องมารดามาถึง ๙ เดือน เมื่อคลอดออกมาร้อง อ้าๆๆ หมายความว่าเกิดเป็นคนสมบูรณ์แล้ว ท่านเดินได้ฉับพลันหรือไม่ ท่านย่อมเดินไม่ได้ฉับพลัน ภาวะแห่งการเดินไม่ได้ฉับพลัน ท่านต้องกินอะไร ท่านต้องกินเลือดแห่งความบริสุทธิ์ของมารดา คือการกลั่นเป็นนมให้เราดื่มกิน แล้วค่อยมาฝึกกินข้าว แล้วก็ค่อยมาฝึกนั่ง แล้วค่อยมาฝึกเดิน นี่คือสภาวะแห่งธรรมชาติของธรรมะอันแท้จริง


นิพพานในโลกมนุษย์

วิถีการที่ท่านจะไปสู่แห่งการได้นิพพานในโลกมนุษย์นั้น ก็คือว่า ท่านจะต้องมั่นอยู่ในศีล แล้วท่านจะต้องหมั่นละสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า ไม่ยึด ไม่หลง ไม่คล้อย ไม่ตามเขา ให้เป็นตัวของตัวเอง มีสัจจะต่อตน ทำสมาธิเป็นเวลา เขาเรียกว่าลับให้จิตนิ่ง คือสมถกรรมฐาน กำหนดจิตรวมจนธาตุทั้งสี่เสมอ แล้วค่อยขึ้นวิปัสสนาญาณภาวะนั้นแหล่ จะทำให้ท่านรู้สภาวะแห่งธรรม ท่านก็จะถึงในภาวะนั้น เมื่อนั้นท่านก็จะรู้ว่าสภาวะนิพพานเป็นอย่างไร 


ทุกวันนี้ สภาพสิ่งแวดล้อมของสังคมทำให้ผู้ที่สอนธรรมะ เรียกว่าพยายามคล้อยตามอารมณ์คน หรือคล้อยตามวัตถุที่เขาสร้างขึ้นมาว่าทุกอย่างไปสู่จุดแห่งความรวดเร็ว ถ้าท่านเดินอยู่ในกฎแห่งศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว ท่านสามารถไปถึงนิพพานได้ เมื่อท่านทำสมาธิจิตถึงเอกัคคตาจิตแล้วไซร้ เมื่อนั้นท่านย่อมรู้รสแห่งคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ได้ด้วยตัวเอง 


เรื่องของคำว่า นิพพานก็ดี เรื่องของเทพพรหมก็ดี เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องอจินไตย และเป็นเรื่องปัจจัตตัง ที่เรียกว่า ใครทำใครได้ ใครทำใครรู้ ไม่อย่างนั้นองค์โคตรมะไม่พูดว่า
“ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นถึงเราตถาคต ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นก็จะรู้ว่าตถาคตเป็นอย่างไร” 


     ฉะนั้น ในสิ่งเหล่านี้ เราใคร่อยากจะให้ท่านทั้งหลาย ดำเนินไปตามขั้นตอนที่วางไว้ แล้วท่านก็จะรู้ในภาวะแห่งอารมณ์นิพพานของการเป็นมนุษย์นั้น เป็นอย่างไร


ทำอย่างไรจึงไม่เกิดอีก



สานุศิษย์ : ลูกไม่อยากจะเกิดอีกแล้วค่ะ
สมเด็จ :
              อันเป็นคน           ไม่ใช่อยู่          ที่ตนคิด
มนุษย์ไซร้          ทุกรูปนาม            นั้นต้องเกิด
ภาวะกรรม         ที่ตนสร้าง             ย่อมมีผล
ท่านทั้งหลาย      จงพิจารณา          ถึงถ่องแท้
สรรพสิ่ง              สู่วงเวียน              ของวัฏฏะ
สลายเรื่อย           สลายไป               เปลี่ยนภาวะ
การเป็นคน          เพราะมีกรรม        นำตนเกิด
ภาวะที่                จะนำตน               พ้นอัตตา
ต้องบำเพ็ญ         ถึงจตุถฌานสี่       อย่างน้อย
วาระจิต              วิญญาณไซร้       สู่พรหมโลก
การเป็นพรหม     ย่อมมีการ           เสวยกรรม ( วิบาก )
วิบากอยู่           สามพันปี           ของทิพยอำนาจ อย่างน้อยต่ำ
หนึ่งวัน             โลกวิญญาณไซร้    หนึ่งปีโลกมนุษย์คิด
ฉะนั้น การที่ท่านไม่อยากเกิดนั้น ไม่ใช่อยู่ที่เราจะเลือกของเราได้เอง อีกอย่างหนึ่งเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ภาวะแห่งการที่เราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อกฎแห่งกรรมหรือไม่ ภาวะแห่งการที่เราเชื่อกฎแห่งกรรม ก็ย่อมที่จะเรียกว่า ทำกรรมดีย่อมได้เสวยดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมเสวยชั่ว

 

ซึ่งเราก็ได้ตอบพวกอาจารย์อภิธรรมแล้วว่า รูปก็ดับนามก็ดับ แล้วเอาอะไรไปเสวยกรรม ก็คือวิญญาณทิพย์ที่ต้องไปเสวยกรรม ทิพยวิญญาณที่จะต้องหลุดออกจากรูปนาม ไปสู่ปรภพแห่งการเสวยกรรม


หลักปฏิบัติตนสู่สุคติในปรภพ



ทีนี้ การที่เราไม่อยากเกิดนั้น เราก็ต้องพยายามสร้างความดี ถ้าท่านตั้งมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วก็ตั้งอยู่ในหลักแห่งจาคะมากๆ ทำทาน เรียกว่าทานบารมี อธิษฐานบารมี สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะช่วยให้ท่านไปสู่สุคติในปรภพ

      ส่วนเรื่องที่จะไม่เกิดนั้น ก็มีว่า ท่านตายไปแล้ว ท่านจะไปบำเพ็ญต่ออย่างไร นั่นเป็นเรื่องในปรภพ ก็อาจจะสามารถไปถึงพรหมโลก ท่านอาจจะไม่อยากยุ่งเกี่ยว คืออาจจะคิดว่า ฉันนี้เมตตามามากเพียงพอแล้ว ฉันได้สร้างกุศลมามากแล้ว ฉันได้ทำงานเพื่อมนุษย์มามากแล้ว


บัดนี้ฉันมาเสวยบุญของฉันอยู่ในพรหมโลก หรือ เทวโลกก็ดีแล้วฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครที่นั่น เขาก็มีศาลาฟังธรรม และมีที่ฝึกที่จะให้ท่านเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า พระสกทาคามี พระอนาคามี โสดาปัตติมรรค ซึ่งสำเร็จในโลกวิญญาณ ก็ไม่เกิดได้เหมือนกัน

สานุศิษย์ : จะเกิดมาเป็นคน หรือเป็นอะไรก็รู้สึกว่าไม่อยากเป็นทั้งนั้นค่ะ อยากจะให้มันหายไปเลย ไม่อยากจะมีอะไรค่ะ


สมเด็จ : ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่แท้จริง และท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เคลื่อนไปสู่การสลายแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่จะสูญเปล่าไปหมดนั้น อาตมาว่าไม่จริงหรอก


ท่านพิจารณาง่ายๆ น้ำที่ระเหยขึ้นไปเป็นไอน้ำ รวมตัวเป็นเมฆแล้วตกลงมาเป็นฝน ขี้ที่เราขี้ออกไป เอาไปรดผัก หลังจากนั้นเราก็เอาผักมากิน เยี่ยวที่เราเยี่ยวออกมาลงไปในดิน กลั่นกรองเป็นชั้นๆเป็นน้ำ แล้วก็มาโกหกว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ กินกัน ก็เรียกว่ากินขี้เยี่ยวของตัวเองทั้งนั้น แต่ไปอุปาทานกันมากมาย ว่าไอ้นี่สะอาด ไอ้นั่นไม่สะอาด

     ฉะนั้นการที่ท่านจะให้สูญสลายไปนั้น ท่านต้องถามตัวท่านว่า ท่านสามารถปฏิบัติจิตของท่านถึงจตุตถฌานสี่ แล้วเล่นอภิญญาสามได้หรือไม่ ถ้าท่านสามารถทำได้ ท่านก็อาจไปสู่แดนพระนิพพานได้ เรียกว่า เข้าสู่แดนวิสุทธิเทพ ดินแดนแห่งความสงบ แล้วก็สลายในที่นั้น


สานุศิษย์ : สลายไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือค่ะ

สมเด็จ : ถ้าทุกอย่างจะสลายไปเดี๋ยวนี้ได้ ก็คิดว่าพระอรหันต์คงเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วก็เป็นผู้สำเร็จกันมากมายในโลก คงไม่ต้องมาฆ่ากัน มาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเหมือนทุกวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าคิดกันง่าย ปฏิบัติกันยาก มันจึงกลายเป็นหันซ้ายหันขวากันเยอะแยะ
           ท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ ที่ได้มีโอกาสในที่นี้ แล้วก็ได้มาฟังอาตมาเรียกว่าเล่าให้ฟังเป็นบางสิ่งบางอย่าง สิ่งไหนเป็นสิ่งดีก็ใคร่ให้ท่านนำกลับไปพิจารณา สิ่งไหนไม่ดีก็ใคร่ให้ท่านทิ้งไว้ที่นี่ และท่านที่ยังไม่เคยมาก็อย่าด่วนรีบลงความเห็นใดๆทั้งสิ้น เพราะว่าเราเป็นชาวพุทธ

       พระพุทธเจ้าว่า ชาวพุทธที่แท้จริงจะไม่ด่วนคาดคะเน ชาวพุทธที่แท้จริงจะไม่ด่วนลงความเห็น หลักของศาสนาพุทธมีเหตุมีผล และมีปัจจัยที่จะให้เข้าไปค้นพิสูจน์ ถึงจุดมุ่งหมายแห่งความรู้นั้นได้

              เสมือนหนึ่งท่านอยากจะดูการเป็นอยู่ของโลกวิญญาณ ถ้าท่านไม่ทำสมาธิท่านนั่งถามอยู่เรื่อย ท่านก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงภาวะแห่งการเป็นอยู่ของเทพ ของพรหม เขาเคลื่อนไหวกันอย่างไร
              ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ในจักรวาลพิภพนี้ ยังมีสิ่งลี้ลับ สิ่งอะไรหลายอย่างที่เราเห็นด้วยตาเนื้อไม่ได้ จึงใคร่จะฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายคิด

ที่มา หนังสือ ความพิสดารของโลกวิญญาณ  โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี
เกหลง พานิช รวบรวม
......................................................................


    

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ24.10.59

    บุคคลที่หลุดพ้นแล้วจะไม่กลับมาอีก

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยม