Blog นี้สร้างมาเพื่อ เป็นสื่อกลางให้ผู้สนใจในการปฏิบัติ ได้มาศึษาหาความรู้ และ แนะนำสถานที่ปฏิบัติให้แก่ผู้สนใจ และ ช่วยนักปฏิบัติผู้กำลังหลงทาง ให้เจอทางออก และ เข้าถึงซึ่งความเป็นจริงของสภาวะ

27 พฤศจิกายน 2564

ย้อนอดีตหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา

ย้อนอดีต
หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา








หุบผาสวรรค์เมืองศาสนาตั้งอยู่ที่เขาถ้ำพระ(เดิมเรียกกันตามรูปร่างของภูเขาว่า เขาเสือหมอบ) ต.ดอนทราย อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี

ธรรมทูตแห่งอินเดีย

     เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งประเทศอินเดียได้ส่งพระส่งพระธรรมทูตออกเผยแผ่พระพุทธศาสนา คณะธรรมทูตสายหนึ่งซึ่งนำโดยพระอรหันต์สององค์คือพระโสณะมหาเถระกับพระอุตระมหาเถระ เดินทางเดินทางมุ่งสู่สุวรรณภูมิ เมื่อใกล้เข้าสู่ผืนแผ่นดินได้เกิดเหตุเรืออับปางลง ณ พื้นที่หนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อได้ขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้วคณะธรรมทูตทั้งหมดได้เดินทางต่อโดยใช้เกวียนเป็นพาหนะ 
ในที่สุดก็เดินทางมาพักแรมอยู่ ณ ถ้ำสาลิกาเทือกเขาเสือหมอบ 
( ถ้ำสาลิกา เทือกเขาถ้ำพระ ต.ดอนทราย อ.ปากท่อ จ.ราชบุรีในปัจจุบัน ) 







      เมื่อมาพักที่นี่คณะธรรมทูตได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขา ( ปัจจุบันคือสถานที่ ที่ประดิษฐานองค์สันติเจดีย์ ) สังเกตเห็นว่าสถานที่หนึ่งที่ห่างออกไปจากเทือกเขานี้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ในเวลากลางวันมีดงไม้เขียว ในเวลากลางคืนมีแสงไฟสว่างคาดว่าจะเป็นชุมชน ( ปัจจุบันคือเมืองคูบัว ) 






คณะธรรมทูตจึงประชุมวางแผนและตัดสินใจมุ่งหน้าไปสู่จุดนั้นเพื่อทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ หมู่บ้านคูบัว 






นับได้ว่าเทือกเขาเสือหมอบแห่งนี้เป็นจุดทอแสงของพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิแห่งนี้









หลวงวิจิตรวาทการ อดีตอธิบดีศิลปากร ทราบความสำคัญข
องสถานที่นี้ จึงได้ออกประกาศกรมศิลปากร ลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๘ กำหนดให้เขาถ้ำพระแห่งนี้เป็นโบราณสถานสำหรับชาติแห่งหนึ่งของจังหวัดราชบุรี










พ.ศ.2513 อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ได้เดินทางไปยังทิวเขาเทือกนี้แสวงหาสถานที่อันควรแก่การปฏิบัติจิต เมื่อสำรวจแล้วเห็นเป็นสถานที่เหมาะสม มีทิวทัศน์งดงามควรแก่การปฏิบัติจิตและพักผ่อนหย่อนใจ จึงอำนวยการปรับปรุงสถานที่เพื่อให้เป็นศูนย์กลางทางศาสนา และสร้างปูนียวัตถุทั้งทางพุทธศาสนาและศาสนาอื่น เป็นการปูพื้นการทำภราดรภาพทางศาสนา เตรียมการประชุมเพื่อสันติภาพโลกในโอกาสต่อไป












สันติเจดีย์ พระปางถวายเนตร พระเยซู พระพิฆเนศ พระแม่กวนอิม ปูชนียวัตถุทางศาสนา เพื่อภราดรภาพและสันติภาพในโลกมนุษย์


บนเขา ในหุบผาสวรรค์เมืองศาสนามีปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ สันติเจดีย์สัญลักษณ์แห่งสันติภาพโลก, พระพุทธรูปยืนปางถวายเนตร สูง ๙ เมตร,องค์สมมุติพระพิฆเนศ,องค์สมมติพระสังกัจจายน์,องค์สมมติพระเยซูสูง ๙ เมตร,องค์สมมุติพระแม่กวนอิม สูง ๙ เมตร(การดำเนินการสร้าง ณ ตอนนั้นไม่แล้วเสร็จ ทำไปได้ ๗๐% แต่ได้ก่อขึ้นรูปองค์สมมติ และบรรจุดินศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่าน อ.สุชาติได้เดินทาง นำมาจากประเทศต่างๆ ตามพระบัญชา ของเทพพรหมเบื้องบน)

สถานที่สำคัญในหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา











พระพุทธถวายเนตรนิรภัยทุกทิศ เมื่อการดำเนินการบุกเบิกหุบผาสวรรค์เมืองศาสนามาได้ระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้การสร้างภราดรภาพทางศาสนาเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ตามหลักการที่ว่า “การที่จะสร้างสันติสุขอันถาวรในโลกมนุษย์นั้นจำเป็นที่จะต้องให้ มนุษย์เข้าซึ้งถึงศาสนาแต่ละศาสนา”












อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ และคณะกรรมการของหุบผาสวรรค์ฯ จึงได้ดำริที่จะจัดสร้างพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งพุทธศาสนา ขึ้น ณ ยอดเขายอดหนึ่งบนเทือกเข้าถ้ำพระ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โดยจัดสร้างพระพุทธรูปยืนปางถวายเนตร แสดงพุทธประวัติตอนเริ่มต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในสัปดาห์ที่ ๒ พระองค์ประทับยืนทอดสายพระเนตรสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ด้วยความปีติ
และทรงปลงสังเวชว่า"สัตว์โลกเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา เราจะโปรดเขามิใช่ง่ายนัก"












พระพุทธถวายเนตรเป็นพระประจำวันอาทิตย์ มีความสูง ๙ เมตร ประกอบพิธีวางศิลามงคลบรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙

อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์
เป็นประธานพิธี
ม.จ.ชุมปกะบุตร ชุมพล ทรงเป็นประธานกรรมการจัดงาน ได้ถวายนามพระพุทธรูปนั้นว่า
“พระพุทธถวายเนตรนิรภัยทุกทิศ”











เพื่อเป็นมงคลแก่ชนทั้งหลายที่ได้สักการะบูชาให้มีแต่ความเป็นสิริมงคล มีความปลอดภัย มีความสุขใจสุขกาย และอีกนัยหนึ่งคือ ขอให้พุทธานุภาพโปรดช่วยให้ภัยอันตรายทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยทั่วทุกทิศ จงมลายหายไปด้วยพุทธบารมี












หมายเหตุ ภาพพระพุทธถวายเนตร สันติเจดีย์ ถ่ายเมื่อครั้งเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา








องค์สมมติพระเยซูประดิษฐานบนยอดเขายอดหนึ่งในเทือกเขาถ้ำพระ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา
ภราดรภาพทางศาสนาจุดเริ่มต้นของสันติภาพอันถาวร เมื่อสมาคมศาสนาสัมพันธ์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีจุดหมายปลายทางที่จะนำพลังทางศาสนาเพื่อยุติสงครามและความขัดแย้งในโลกซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งของโลกในขณะนั้นมีแนวโน้มที่จะบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้

จึงเกิดโครงการภราดรภาพทางศาสนาขึ้น โดยมีเป้าหมายเริ่มต้นที่การเจริญความสัมพันธ์กับคริสต์ศาสนาโลก โดยมีหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาเป็นศูนย์กลางในการเสริมสร้างภราดรภาพนั้น

ได้จัดทำโครงการสร้างองค์พระเยซูคริสต์ ขึ้นบนยอดเขายอดหนึ่งในเทือกเขาถ้ำพระ (ในขณะนั้นหุบผาสวรรค์ได้จัดสร้างองค์พระพุทธรูปสูง ๙ เมตร เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว )







เมื่อตกลงใจเป็นที่แน่นอนแล้วคณะกรรมการสมาคมศาสนาสัมพันธ์จึงได้ทำการติดต่อกับทางฝ่ายคริสต์ศาสนา แสดงความประสงค์ที่จะจัดคณะธรรมทูตศาสนาสัมพันธ์เดินทางไปนครวาติกันประเทศอิตาลีเพื่อความประสงค์หลัก ๒ ประการคือ









ภาพองค์พระเยซูคริสต์ในอดีต

๑.เพื่อขอรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ มาบรรจุในองค์สมมติพระเยซูเจ้าที่จะจัดสร้าง ๒.เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปะปาปอลที่๖ กราบทูลความประสงค์ของโครงการภราดรภาพทางศาสนา ตลอดจนโครงการที่จะสร้างองค์สมมติพระเยซูคริสต์เจ้า บนยอดเขายอดหนึ่งของเทือกเขาเสือหมอบ อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา












เริ่มต้นเดินทาง

๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ คณะธรรมทูตศาสนาสัมพันธ์ จำนวน ๘ ท่านเดินทางจากประเทศไทยไปสู่ประเทศอิตาลี ประกอบด้วย ๑.พระเทพโสภณ ขณะนั้นท่านมีตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เจ้าคณะภาค ๑๔ ๒.พระสังฆราช เปโตร กาเร็ตโต เจ้าคณะสังฆมณฑลภาคใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้รับผิดชอบงานศาสนาสัมพันธ์แห่งกรุงวาติกันในประเทศไทย ๓.อาจารย์สุชาติ โกศลกิตวงศ์ นายกสมาคมศาสนาสัมพันธ์ ผู้อำนวยการอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ๔.คุณบุญยง ว่องวานิช อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ๕.อาจารย์สิงโต จ่างตระกูล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาจารย์ใหญ่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ๖.คุณปรีชา ชุ่มใจ อดีตเลขาธิการ องค์การยุวพุทธิกศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ๗.คุณเมธี เรืองอุตมานันท์ ๘.คุณสิทธิชัย ตั้งตรงจิตร ไวยาวัจกรของพระเทพโสภณ
เยือนนครวาติกัน เข้าพบสันตะปาปา ปอลที่ 6

วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นวันที่จะต้องจดจำอีกวันหนึ่ง เป็นวันที่คณะธรรมทูตศาสนาสัมพันธ์ได้รับโอกาสให้เข้าเฝ้าพระสันตะปะปาปอลที่ ๖ เหตุการณ์นี้ท่านพระสังฆราชคาเร็ตโต ได้เขียนบันทึกไว้ว่า



คณะของเราได้เข้าเฝ้าเป็นพิเศษเวลา ๑๒.๔๐ น. สมเด็จพระสันตะปะปา พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามได้เข้ามาในห้องที่คณะเรารออยู่ ข้าพเจ้าได้เป็นผู้แสดงความเคารพก่อน แล้วจึงแนะนำชื่อ ฐานะ หน้าที่ของผู้เฝ้าแต่ละคน พระองค์ทรงต้อนรับ จับมือกับทุกคนด้วยความเป็นมิตร ทำให้เรารู้สึกว่า อยู่ต่อหน้าผู้ที่น่าเคารพและเป็นกันเองที่สุด พระองค์ได้ตรัสกับคณะของเรา โดยทางข้าพเจ้าว่า ทรงรู้จักประเทศไทยดี ทรงรักประเทศไทยมากและเคารพประมุขของประเทศ เพราะชาวไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา.... …พระองค์แสดงความสนพระทัยในความคิดเห็นต่างๆของคณะทูตสันติภาพของเราทรงอ้อนวอนขอให้พระผู้ศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะพระผู้สร้างได้อวยพรแก่เราทุกคน
คณะธรรมทูตศาสนาสัมพันธ์เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 จากนั้นทรงเชื้อเชิญทุกคนสงบอารมณ์ภาวนาและอธิษฐานต่อพระเจ้า ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แต่ละคนนับถือ เพื่อจุดมุ่งหมายของคณะเราได้บรรลุผลสำเร็จ จากนั้นทรงมอบเหรียญที่ระลึกแก่ทุกคน ก่อนจากทรงเชื้อเชิญเราทุกคนยืนรอบพระองค์และถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกในโอกาสอันสำคัญยิ่งนั้น"



นอกจากนี้พระองค์ยังทรงกล่าวข้อความอันสำคัญที่เป็นดังพลังใจให้กับคณะธรรมทูตสมาคมศาสนาสัมพันธ์ ไว้ว่า “ คณะของท่านมีความคิดริเริ่มดี และกล้าก้าวออกมาทำงาน บางคนได้แต่คิด แต่ไม่กล้าที่จะแสดงออกหรือกล้าทำตามที่คิด ” สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากโรม เมื่อได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเป็นที่เรียบร้อยแล้วคณะธรรมทูตศาสนาสัมพันธ์ได้ออกเดินทางเพื่อไปอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า โดยเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ เช่น อุโมงค์ใต้ดินหรือกาตากอมบ์(Catacomb) ซึ่งเดิมเป็นที่ฝังศพของคริสตัง แต่เมื่อยุคของชาวคริสต์มีภัยสถานที่แห่งนี้จึงถูกใช้เป็นสถานที่หลบซ่อน สำหรับคริสตังที่ถูกทางการไล่ล่า เพราะไม่ยอมทิ้งศาสนาของตน , อุโมงค์นักบุญกลาริสโต เป็นต้น สรุปได้ว่าในกรุงโรมคณะธรรมทูตได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือ ๑.ดินศักดิ์สิทธิ์จากหลุมฝังพระศพอดีตสันตะปาปาและดินศักดิ์สิทธิ์ที่อุโมงค์ Catacombs ๒.ดินศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำแม่พระเมืองลูร์ด ๓.กิ่งมะกอก(Olive Tree) จากสวนวาติกันซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ








เดินทางต่อไปสู่แดนเกิดองค์พระเยซู วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ คณะธรรมทูตออกเดินทางโดยเครื่องบินจากประเทศอิตาลี มุ่งสู่กรุงเทลาวีฟ ประเทศอิสราเอล เพื่อเข้าพบ พระอัครสังฆราช เจมส์ เบลตริสตี (James Betriti)แห่งเยลูซาเลมประมุขของคริสต์ชนทั่วอิสราเอล




เมื่อคณะธรรมทูตได้เข้าพบท่าน ได้ถวายพระไตรปิฎกภาษาไทยเล่มใหญ่ครบชุดจำนวน ๔๕ เล่มพร้อมตู้หนังสือ แด่ท่านอัครสังฆราช จากนั้นอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ได้กล่าวถึงจุดหมายในการเดินทางมานั่น คือการมาสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่าง ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และฮิบรู






ท่านอัครสังฆราชกล่าวว่าท่านมีความปลื้มปีติเมื่อได้รับข่าวการมาของคณะ ท่านได้จัดเตรียมสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญชิ้นหนึ่งเพื่อมอบให้กับคณะธรรมทูตสมาคมศาสนาสัมพันธ์โดยเฉพาะ นั่นคือ ท่านได้สั่งให้คนของท่านไปสกัดหินชิ้นหนึ่งจากยอดเขากัลวาริโอ








ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ทั่วโลก เพราะเป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนในปี ค.ศ.๓๓ ท่านได้เตรียมศิลานี้ไว้ในกล่องสวยงามพร้อมด้วยตราประทับรับรองของท่านเพื่อเป็นหลักฐานว่าเป็นของแท้ที่ได้มาจากยอดเขากัลวาริโอจริง จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยังเมืองเบธเลเฮม สถานที่เกิดของพระเยซู










ในการเดินทางมาสู่เยลูซาเลมในครั้งนี้คณะธรรมทูตได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญคือ ๑.ก้อนหินศักดิ์สิทธิ์จากยอดเขากัลวาริโอ ๒.ดินศักดิ์สิทธิ์จากสถานที่เกิดของพระเยซูคริสต์ กลับสู่ประเทศไทยเพื่อก้าวงานต่อไปสู่สันติภาพ เมื่อคณะธรรมทูตศาสนาสัมพันธ์สำเร็จภารกิจในการเข้าเฝ้าพระสันตะประปา และอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับพระเยซูและคริสต์ศาสนากลับสู่ประเทศไทยแล้ว ได้เดินทางกลับในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒







พิธีเจิมและวางศิลามงคลองค์พระเยซู วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๐ สมาคมศาสนาสัมพันธ์ได้จัดพิธีเจิมและวางศิลามงคลองค์สมมติพระเยซูคริสต์
โดยมี นายแพทย์บุญสม มาร์ติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี คุณวัชระ สิงคิวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นประธานกรรมการจัดงาน เจ้าคุณพระเทพโสภณ เจ้าคณะภาค ๑๔ เป็นประธานฝ่ายพุทธ








ทางฝ่ายคริสต์มี พระสังฆราช เปโตร คาเร็ตโต เป็นประธาน พร้อมด้วย บาทหลวงสนิท ลุลิตานนท์ บาทหลวงสุรินทร์ ซุ่นฟุ้ง รวมทั้งคณะนักเรียนโรงเรียนคริสต์ศาสนา งานได้ดำเนินไปตามวาระอย่างราบรื่น ท่ามกลางความชื่นชมโสมนัสของประชาชน เป็นอันว่าโครงการจัดสร้างองค์พระเยซูบนยอดเขาได้ผ่านขั้นตอนอันละเอียดอ่อนไปแล้ว และพร้อมที่จะเริ่มก่อสร้างต่อไป




พิธีวางศิลามงคลเพื่อเริ่มสร้างองค์พระเยซู

พระสังฆราช เปโตร คาเร็ตโต เจ้าคณะสังฆมณฑลภาคใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประธานศาสนาสัมพันธ์แห่งนครวาติกันประจำประเทศไทยเป็นประธานกรรมการจัดงาน






ภาพในอดีตพิธีวางศิลามงคล
องค์พระเยซูคริสต์









อัญเชิญองค์พระแม่มารีที่ท่าน อ.สุชาติ ได้รับมอบมาจากประเทศอิตาลี







องค์สมมติพระผู้ไถ่บาปปรากฏบนยอดภูเขาแห่งศาสนาอย่างงามสง่า








เมื่อได้ทำพิธีวางศิลามงคลแล้ว ก็ได้ทำการก่อสร้างองค์สมมติตามแบบที่ได้วางไว้ การสร้างสำเร็จในปี พ.ศ.๒๕๒๒ เป็นองค์สมมติประทานพระพร (กางพระกรออกสองข้าง ) สูง ๙ เมตร












ประดิษฐานหันพระพักตร์สู่สันติเจดีย์ทำนองเดียวกับพระพุทธรูปที่ได้สร้างสำเร็จไปก่อนหน้านั้น มีคริสต์ศาสนิกชนทั้งฝ่ายบรรพชิตและสัตบุรุษพากันไปสักการะบูชาและทำพิธีมิสซาอยู่เสมอตลอดมา









จะเห็นได้ว่ากว่าที่จะสร้างองค์สมมติพระเยซูเจ้าบนยอดเขาแห่งนี้ได้ คณะกรรมการจัดสร้างต้องใช้ความพยายามอย่างสูงสุดประกอบกับความสุขุมรอบคอบในการวางแผนงานเพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเข้าใจกัน และความศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงของศาสนิกชนทั้งพุทธและคริสต์




และนั่นอาจเป็นความประสงค์อันแท้จริงของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์เบื้องที่ต้องการให้มนุษย์ในโลกอยู่กันอย่างสันติ ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ก่อสงครามกัน

ดังคำอมตะของท่านอริยวังโส ภิกขุ (ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ โกศลกิติวงศ์ )








อดีตนายกสมาคมศาสนาสัมพันธ์ ที่ว่า “มนุษย์ในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นญาติมิตรครอบครัวเดียวกัน
เราหัวเราะกันได้ ยิ้มกันได้ จะเป็นศัตรูกันเพื่ออะไร ”







หมายเหตุ ภาพองค์สมมติพระเยซู ถ่ายเมื่อครั้งเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ตลอดระยะเวลา 14 ปี ที่ผ่านมา

หมายเหตุ
ภาพ อ.สุชาติ โกศลกิติวงศ์ และคณะทูตศาสนาสัมพันธ์ จากหนังสือ ชีวิตต้องสู้ ของ อ.สุชาติ โกศล กิติวงศ์










สังขารท่านอ.สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ไม่เน่าไม่เปื่อย ในโลงแก้ว
ณ อุทยานศาสนา
พระโพธิสัตว์กวนอิม จ.เพชรบุรี








ประวัติการสร้างสันติเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐาน ณ ยอดเขาถ้ำพระ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา












องค์สันติเจดีย์ ในอดีต







ศาสนิกชนจากจังหวัดต่างๆ ปฏิบัติบูชา และ อธิษฐานบูชา ณ สันติเจดีย์



แสดงปาฐกถาธรรม ณ สันติเจดีย์ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา

มูลเหตุในการจัดสร้าง





เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ สานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ได้ไปร่วมกันสร้างเมืองศาสนาขึ้นที่บริเวณเขาถ้ำพระ ตำบลดอนทราย อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี โดยเห็นว่าเขาลูกนี้เป็นสถานที่สำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาในประเทศไทย








เนื่องด้วยพระโสณะมหาเถระและพระอุตระมหาเถระ คณะธรรมทูตซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียได้ทรงส่งออกไปเผยแพร่พุทธศาสนายังแหลมสุวรรณภูมิ ได้เคยมาพำนักที่ถ้ำสาลิกาในเขาถ้ำพระเมื่อปี พ.ศ. ๒๗๓ ก่อนที่จะไปประดิษฐานและเผยแพร่พุทธศาสนาที่บ้านคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี














ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเขาลูกนี้ไว้เป็นโบราณสถาน และสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ได้ใช้สถานที่นี้โดยได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากร ต่อมาจึงได้จัดตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา”







การสร้างเมืองศาสนาแห่งนี้ นอกจากจะได้ดำเนินงานสร้างภราดรภาพทางศาสนาให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังแล้ว อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนายังได้ทำการสร้างปูชนียวัตถุต่างๆทางพุทธศาสนาขึ้นไว้ด้วย

เพื่อเป็นปัจจัยให้พุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพ และสังฆานุภาพ ปกป้องคุ้มครองผู้ซึ่งเข้ามาในเมืองศาสนา ตลอดจนชนเผ่าไทยทั่วประเทศและมนุษย์ทั้งโลก ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในกลางกลียุคนี้








ปูชนียวัตถุอันสำคัญที่สุดได้แก่พระเจดีย์บนยอดเขา ดำเนินการสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ และขนานนามว่า “สันติเจดีย์”










ซึ่งสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์และอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ได้ร่วมกันดำเนินการสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ และขนานนามว่า “สันติเจดีย์” โดยได้ประกอบพิธีวางศิลามงคลในวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๗



สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ( วาสโน มหาเถระ ) สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงเป็นประธานพิธีเจิมแผ่นศิลามงคล ณ บริเวณริมหน้าพลับพลาพรหมรังษี


สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ปลูกหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์(ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช)








ม.จ.ชุมปกะบุตร ชุมพล ประธานกรรมการอำนวยการสำนักปู่สวรรค์ในขณะนั้น ทรงวางศิลามงคลบนยอดเขาตรงบริเวณที่มีลักษณะเป็นโหนก ณ เป็นจุดที่เชื่อว่าได้มีพระอรหันต์เสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ในอดีตกาล








และ พล.ต.ปราการ ภูวนารถนุรักษ์ ประธานกรรมการบริหารสำนักปู่สวรรค์ในขณะนั้นเป็นประธานจัดงาน










ทรงวางศิลามงคลบนยอดเขาตรงบริเวณที่มีลักษณะเป็นโหนก ณ เป็นจุดที่เชื่อว่าได้มีพระอรหันต์เสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ในอดีตกาล และ พล.ต.ปราการ ภูวนารถนุรักษ์ ประธานกรรมการบริหารสำนักปู่สวรรค์ในขณะนั้นเป็นประธานจัดงาน










คำอธิษฐานในพิธี พิธีดังกล่าวนั้นศาสนิกชนที่มารวมกันในวันนั้นได้พร้อมใจกันกล่าวคำอธิษฐาน รวม ๙ ข้อดังต่อไปนี้ ๑.ขอให้ความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่มนุษย์ จงบังเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินไทย ๒.ขอให้สันติเจดีย์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม จงตั้งมั่นอยู่แต่ในศีลในธรรม ๓.ขอให้ราชวงศ์จักรีทรงพระเจริญอยู่คู่ฟ้า ๔.ขอให้แหลมสุวรรณภูมิร่มเย็น และมวลมนุษย์อยู่เย็นเป็นสุข ๕.ขอให้สยามประเทศอยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ๖.ขอให้พระพุทธศาสนาจงยืนยงอยู่คู่โลก ๗.ขอให้ธรรมจงนำโลก ๘.ขอให้สันติเจดีย์จงศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่แผ่นดินไทย ๙.ขอให้คำอธิษฐานนี้สัมฤทธิ์ผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป










ได้รับความรู้จากท่านบรมครู เรื่อง “สันติเจดีย์” ว่าเป็นพระเจดีย์ที่เลียนแบบมาจาก “นิพพานเจดีย์”บนสวรรค์ ซึ่งในโลกมนุษย์เรียกชื่อว่า “จุฬามณีเจดีย์สถาน”
















ตำนานของนิพพานเจดีย์มีอยู่ว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ กรุงกุสินารา และได้มีการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว บรรดากษัตริย์และเจ้าแค้วนต่างๆในชมพูทวีปซึ่งเสด็จไปในงานถวายพระเพลิง
ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ในเมืองใด
ในที่สุดจึงได้มอบหมายให้โทณพราหมณ์ซึ่งเป็นพระราชครูของบรรดากษัตริย์และเจ้าแคว้นทั้งหลาย เป็นผู้พิจารณาแบ่งพระบรมสารีริกธาตุนั้น โทณพราหมณ์ได้ถือโอกาสอัญเชิญพระทาฐธาตุขวาเบื้องบนหลบซ่อนไว้ที่มวยผมเพื่อหวังเป็นสมบัติของตน







องค์อัมรินทร์จอมเทพทรงพิจารณาเห็นว่า พระทาฐธาตุขวาเบื้องบนนี้มิควรที่จะประดิษฐานอยู่ที่มนุษยโลก จึงได้อัญเชิญจากมวยผมของโทณพราหมณ์ขึ้นไปประดิษฐานบนดาวดึงส์เทวโลก
แล้วรับสั่งให้พระวิษณุกรรมเทพบุตรนิรมิตรนิพพานเจดีย์ขึ้น เพื่อประดิษฐานพระทาฐธาตุดังกล่าวข้างต้น





ทั้งนี้ได้อัญเชิญพระจุฬามณีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้อัญเชิญไปไว้ก่อนแล้ว เมื่อครั้งเสด็จออกมหาภิเนษกรณ์ ประดิษฐานไว้ด้วยกันในนิพพานเจดีย์นั้น








แบบสันติเจดีย์ อย่างไรก็ดี สำนักปู่สวรรค์ได้สร้างสันติเจดีย์โดยดัดแปลงแบบของนิพพานเจดีย์บางส่วน เพื่อให้เหมาะสมกับภูมิประเทศของยอดเขาถ้ำพระด้วย แบบของสันติเจดีย์ที่ได้ดัดแปลงตามนัยดังกล่าวข้างต้น








มีลักษณะเป็นพระเจดีย์ ๑๐ ยอด ตั้งอยู่บนมุขหน้า ๑ ยอด เป็นพระเจดีย์ขนาดกลางรูปทรงกลมแบบลังกา และตั้งอยู่บนห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูป
อีก ๙ ยอด เป็นพระเจดีย์ทรงเหลี่ยมย่อมุมแบบพระเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย ยอดใหญ่ ๑ ยอดอยู่ตรงกลาง มียอดเล็กตั้งอยู่รอบยอดใหญ่ ๔ มุม มุมละยอด และมียอดกลางตั้งอยู่รอบนอก ๔ มุมมุมละยอด











ความสูงจากพื้นพระเจดีย์ถึงยอดฉัตร ๙ เมตร ( สูงเท่ากับพระพุทธถวายเนตรนิรภัยทุกทิศ ที่ประดิษฐานอยูบนยอดเขาทางด้านทิศตะวันตก และหันพระพักตร์มาสู่สันติเจดีย์)






พระพุทธปฏิมากร มหามุนีศรีหุบผาสวรรค์ (พระประธานในองค์สันติเจดีย์) เป็นองค์ใหม่ที่
ประดิษฐานแทนองค์เดิม






ภาพพระพุทธรูปองค์เดิมที่ท่าน อ.สุชาติ นำมาประดิษฐานบนสันติเจดีย์ (ปัจจุบันได้ถูกขโมยไป)


ระหว่างมุขหน้าและห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูป มีมุขกระสันอยู่ตรงกลาง ที่ผนังด้านนอก ๓ ด้านของมุขทั้งสองและห้องโถง ประดับรูปภาพสัตว์หิมพานต์

แกะสลักด้วยหินอ่อน ที่ฐานมีรูปปั้นพญาครุฑ หนุมาน และสิงห์แบกบัลลังก์ประดิษฐานอยู่ ๓ ด้าน
















ทำนองเดียวกัน เว้นด้านหน้าเป็นประตูสำหรับเข้าห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูป

ความหมายของพระเจดีย์ ๑๐ ยอด ได้แก่บารมี ๑๐ ทัศ ของผู้ซึ่งจะบำเพ็ญตามแนวทางพระโพธิสัตว์












การก่อสร้าง หลังจากที่ได้ประกอบพิธีวางศฺิลามงคลสันติเจดีย์ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้ว คณะกรรมการของสำนักปู่สรรค์และหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาก็ได้ดำเนินการสร้างสร้างสันติเจดีย์ต่อไป









โดยมอบให้ อาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ เป็นผู้ออกแบบแปลนพร้อมทั้งทำหุ่นสันติเจดีย์ และร่วมกับคุณสวัสดี ศรีรัตภาส ทำการก่อสร้างสันติเจดีย์ตามแบบแปลนดังกล่าวนั้น สิ้นระยะเวลาก่อสร้าง ๒ ปีเต็ม ค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างประมาณหนึ่งล้านเก้าแสนบาท



อ.สุชาติ เชิญดินศักดิ์สิทธิ์จากสถานที่ประสูตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเทศเนปาล







การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ในระหว่างที่ดำเนินการก่อสร้างสันติเจดีย์อยู่นั้น คณะกรรมการของสำนักปู่สวรรค์และอาณาจักรหุบผาสรรค์เมืองศาสนา ก็ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากบุคคลต่างๆดังต่อไปนี้ ๑.พระอมฤตนันทะ ประธานคณะสงฆ์แห่งประเทศเนปาล ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลักษณะสัณฐานกลม คล้ายเมล็ดพันธุ์ผักกาด จำนวน ๕ องค์ จากประเทศ มามอบให้ ณ สำนักปู่สวรรค์เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๙






พระอมฤตนันทะมหาเถโร ประธานคณะสงฆ์แห่งประเทศเนปาล ที่ สำนักปู่สวรรค์

2.คณะธรรมทูตซึ่ง ท่านทูตสันติภาพ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ เป็นหัวหน้าคณะ ที่ประกอบด้วยพระเทพโสภณ ศจ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล และ พ.ต.ท.บำรุง กาญจนวัฒน์ ได้เดินทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลักษณะสัณฐานกลมคล้ายเมล็ดถั่วเขียวจำนวน ๒ องค์ จากประธานคณะสงฆ์แห่งศรีลังกานิกายสยามวงศ์ ณ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ ๔ ถึง ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๙



พระสังฆราชนิกายสยามวงศ์ 
มอบพระบรมสารีริกธาตุให้คณะธรรมทูต


คณะธรรมทูตอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศศรีลังกา







     ในวันพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เอกอัครราชทูตประจำประเทศศรีลังกา ได้นำพระบรมสารีริกธาตุมามอบให้เพิ่มเติม เพื่อบรรจุในองค์สันติเจดีย์








๓.พุทธศาสนิกชนทั่วราชอาณาจักรไทยได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนใหญ่มีลักษณะยาวคล้ายเมล็ดข้าวสาร ไปให้ที่สำนักปู่สวรรค์และที่หุบผาสวรรค์จำนวนมาก







อนึ่งในวันพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวนั้น สานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์และหุบผาสวรรค์ได้ทราบจากท่านบรมครูว่า นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญตามพิธีต่อหน้าศาสนิกชนทั้งหลายในวันนั้น ยังมีพระบรมสารีริกธาตุจากที่อื่นๆเสด็จเข้าสู่สันติเจดีย์ รวมทั้งพระอรหันต์ธาตุอีกมาก







เมื่อเสร็จพิธีตามกำหนดเวลาดังกล่าว พุ่มเงินพุ่มทองและธูปเทียนแพที่ใช้ในการพิธีให้คณะทูตานุทูตและตัวแทนของ ๙ ประเทศ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปถวายสมเด็จพระสังฆราช องค์ประธานในพิธีในวันนั้น คณะกรรมการได้นำไปประดิษฐานไว้ในปราสาทรอบหุ่นสันติเจดีย์ ๓ ด้านเรียงตามลำดับประเทศทั้งเก้า โดยมีธงชาติของแต่ละประเทศแสดงไว้เป็นอนุสรณ์










นอกจากนี้ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุจำนวนหนึ่ง มาประดิษฐานไว้ ณ ที่บูชาข้างหน้าหุ่นสันติเจดีย์ เพื่อให้ศาสนิกชนทั้งหลายซึ่งไปเยือนอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาทำการสรงน้ำสักการะบูชาตามความศรัทธาเลื่อมใสอีกด้วย




พระคาถาบูชาสันติเจดีย์ สันติเจดีย์ วันทามิ เจติยัง
สัพพัง สัพพัฏฐา เนสุ ปะติฏฐิติ สารีริกะธาตุ มะหาโพธิ
พุทธะรูปะ สา กะลิสะทา สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้ข้าพเจ้าประสบสันติสุข
และขอให้มนุษย์ทั้งโลก
อยู่อย่างสันติด้วยเถิด

องค์สมมติพระโพธิสัตว์กวนอิม








องค์สมมติพระแม่กวนอิม สูง 9 เมตร ทำการสร้างไปได้แค่ประมาณ70% ขึ้นก่อรูปองค์สมมติพระแม่กวนอิมไปแล้ว












จัดแต่งบริเวณโดยรอบเป็นสระบัว สะพานข้ามสระบัว เหมือนเเดนสวรรค์บนยอดเขาเสือหมอบ มากี่ครั้ง น้ำในสระบัวบริเวณนี้ไม่เคยแห้งเลย ยังคงมีน้ำอยู่เต็มสระ และดอกบัวที่งดงามอยู่ตลอด...








ถึงแม้ว่าองค์สมมติพระแม่กวนอิมจะจัดสร้างไม่แล้วเสร็จ 100% เนื่องจากหุบผาสวรรค์ถูกปิด
แต่ภายในองค์สมมติ ได้บรรจุดินศักดิ์เรียบร้อยแล้ว

จากการที่อ.สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ได้เดินทางไปนำมาจากประเทศจีนไต้หวัน และฮ่องกง ตามเทพพรหมเบื้องบนแนะนำ










บรรยากาศดีมาก สงบและงดงาม









รับมอบดินศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าอาวาส วัดโฝกวงซาน ประเทศไต้หวัน พ.ศ.2522



รับมอบทรายและผงธูปศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าอาวาสวัดพระหยก นครเซี่ยงไฮ้ พ.ศ.2523




รับมอบทรายและผงธูปศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าอาวาสพระพันองค์ นครนานกิง พ.ศ.2523






ภาพพิธีวางศิลามงคล สร้างองค์สมมติพระโพธิสัตว์กวนอิม





องค์สมมติพระพิฆเนศ










องค์พระพิฆเนศจะประดิษฐานอยู่บริเวณช่วงกลางเขา ต่ำกว่าจุดสันติเจดีย์ และองค์พระพุทธถวายเนตรนิรภัยทุกทิศ




















เดินอ้อมไปทางด้านหลังพระสังกัจจายน์ ทางขวา จะเป็นทางเดินทะลุช่องโขดหินใหญ่ จะพบองค์สมมติ พระพิฆเนศ ด้านซ้ายมือ เป็นสัญลักษณ์แทนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู



















เดินขึ้นมาถึงระดับกลางเขาจากบันไดหลักจะพบ องค์สมมติพระสังกัจจายน์ด้านขวามือ ประดิษฐานให้สักการะบูชา เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธ นิกายมหายาน









ท่านอ.สุชาติ โกศลกิติวงศ์ สร้างองค์สมมติที่หุบผาสวรรค์ เป็นตัวแทนของศาสนาต่างๆ โดยให้ทุกคน ทุกศาสนาทำความดีให้เข้าถึงจุดสูงสุดของศาสนาที่ตนนับถือ เพื่อความสุข เพื่อความสงบ เพื่อสันติภาพในโลกมนุษย์

















ไม่ทะเลาะ ไม่แตกแยก มีศาสนาที่ทุกคนเคารพ นับถือ ปฏิบัติ รวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้เกิดภราดรภาพและสันติภาพในโลกมนุษย์


ถ้ำลับแล












นอกจากนี้ บนภูเขายังมีถ้ำศักดิ์สิทธิ์ คือ ถ้ำลับแล ภายในถ้ำด้านใน เดิม อ.สุชาติ ได้สร้างองค์เจ้าแม่ลับแลเอาไว้ด้วย



เพื่อให้คนได้มากราบไหว้ แต่น่าเสียดายปัจจุบัน องค์เจ้าแม่ลับแล ได้ถูกทำลาย ตัดแขนออกทั้งสองข้างหลังจากหุบผาสวรรค์ถูกปิด










แม้ว่าจะผ่านมานาน 40กว่าปีแล้ว แต่น้ำในสระบัวก็ไม่เคยลดไม่เคยหาย บัวก็ยังคงมีอยู่ในสระน้ำตลอด คงความงดงามบนยอดเขาหุบผาสวรรค์แห่งนี้








ทางเดินไปถ้ำลับแล จะค่อยข้างรกกว่าการเดินทางไปยังจุดอื่นๆบนยอดเขา











ณ ภาคพื้น








ประวัติพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประดิษฐาน ณ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา สำนักปู่สวรรค์ได้ดำเนินการตามอุดมการณ์ ๑๐ ประการ สำหรับการดำเนินการในอุดมการณ์ข้อที่ ๕

“เทิดทูนพระมหากษัตริย์และสันติภาพเป็นสรณะ”











เมื่อมีการดำเนินงานสร้างเมืองศาสนาแล้ว ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ คณะกรรมการและคณะสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์โดยการนำของท่านทูตสันติภาพ อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์

ได้จัดสร้างพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีขึ้น และได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา ต.ดอนทราย อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี











มูลเหตุในการสร้าง ๑.พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระชาติภูมิเป็นชาวจังหวัดราชบุรี ๒.พระองค์ท่านเคยเสด็จยาตราทัพ เพื่อขัดตาทัพพม่าข้าศึก ณ บริเวณอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนาในปัจจุบันนี้ ๓.พระองค์ท่านทรงมีความห่วงใยในความอยู่รอดของประเทศไทย และพระราชวงศ์จักรีที่พระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ด้วยดี








พิธีเททองหล่อพระบรมรูป เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๙ ตรงกับวันมาฆบูชา ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีเถาะ หม่อมเจ้าชุมปกบุตร ชุมพล ได้เสด็จแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชตามพระราชกระแส ทรงเป็นประธานในพิธีเททองหล่อพระบรมรูป คำอธิษฐานในพิธีหล่อพระบรมรูป ๑.แผ่นดินนี้จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกจากกันมิได้ ๒.ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ๓.ขอให้ชาวไทยทั้งประเทศรวมกันสามัคคี เพื่อพิทักษ์แผ่นดินไทย คณะกรรมการสำนักปู่สวรรค์จะพยายามทุกวิถีทางที่จะพิทักษ์เอกราชของชาติไว้ให้ได้










เมื่อการเททองหล่อพระบรมรูปเสร็จสิ้นแล้ว ผู้แทนพระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาชินนะปูโตอนุสรณ์ ถวายเครื่องไทยทานแด่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ พระสงฆ์ทั้งนั้นถวายพระพรและถวายอดิเรกแล้วเสด็จกลับ


น้ำตกผาเสือหมอบ อยู่ระหว่างถ้ำสาริกา กับ ถ้ำสิงห์มงคล





ดินศักดิ์สิทธิ์ คณะกรรมการและสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๑๙ ขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าคณะจังหวัดทั่วราชอาณาจักร เพื่อขอดินศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละจังหวัด มาประกอบในพิธีอัญเชิญพระบรมรูปพระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยตักดินที่สะอาดบริเวณศาลหลักเมืองหรือศาลเจ้าพ่อหอกลอง หากไม่มีศาลดังกล่าวก็ขอดินสะอาดบริเวณศาลากลางจังหวัด และเจ้าคณะจังหวัดช่วยตักดินที่สะอาด บริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทางศาสนาของจังหวัดนั้น






อนึ่งก่อนที่จะทำการตักดินดังกล่าวนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าคณะจังหวัด หรือผู้ปฏิบัติงานแทนของท่านทั้งสองตั้งสัจจาธิษฐานรวม ๓ ข้อ ๓ ครั้ง ดังนี้
๑.แผ่นดินนี้จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียว ใครจะมาแบ่งแยกมิได้ ๒.ขอให้ความสามัคคีในแผ่นดินไทย จงสัมฤทธิผลทั่วแผ่นดิน ๓.ประเทศไทยต้องเป็นเอกราชอยู่คู่ฟ้าดินสลาย ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าคณะจังหวัด หรือผู้ปฏิบัติงานแทนทั่วราชอาณาจักร ได้ให้ความร่วมมือตามนัยดังกล่าวด้วยดี และสำนักปู่สวรรค์ได้ดินศักดิ์สิทธิ์มาประกอบพิธีบรรลุผล สมความปรารถนาตามเป้าหมาย






พิธีอัญเชิญพระบรมรูป ที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นวันจักรี เวลา ๙.๐๐ น. คณะกรรมการและสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ ได้ประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นบริเวณหน้าถ้ำสาลิกา อาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา โดยอาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักปู่สวรรค์และอาณาจักรหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา เป็นผู้กราบบังคมทูลอัญเชิญ เวลา ๑๕.๐๐ น. ของวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๙ ท่านทูตสันติภาพฯ ได้ประกอบพิธีอ่านโองการอัญเชิญพระบรมรูปฯ







คำจารึก คณะกรรมการและสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์ได้จารึกพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและประวัติการสร้างพระบรมรูป ด้วยหินอ่อนไว้ที่พระแท่นดังนี้ (ด้านหน้า) “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรี ประสูตร วันอังคารขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ ตรงกับวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๒๗๔ เวลา ๑๗.๐๐ น. ปราบดาภิเษก วันพฤหัสบดี ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๘ ปี พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. พระชนมายุ ๔๖ พรรษา





งานพระราชสงคราม
ปี พ.ศ.๒๓๓๔ ยังผลให้เมืองทะวาย เมืองตะนาวศรี และเมืองมะริดยอมอ่อนน้อม
สวรรคต วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๒ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ พระที่นั้งไพศาลทักษินพระบรมหาราชวัง สิริพระชนมายุ ๗๓ พรรษา ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ ๒๗ พรรษา พระราชกรณียกิจ ทรงประกอบคุณความดี ในการป้องกันพระราชอาณาจักร ปราบปรามอริราชศรัตรูภายนอก และเสี้ยนหนามแผ่นดินภายใน ตามหัวเมืองต่างๆจนราบคาบ ” (ด้านหลัง)





“คณะกรรมการและสานุศิษย์สำนักปู่สวรรค์และอาณาจักรหุบผาสวรรค์ฯได้จัดพิธีหล่อพระบรมรูปนี้ขึ้น
โดยหม่อมเจ้าชุมปกะบุตร ชุมพล เสด็จแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ แห่งพระราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๙


ณ ที่นี้เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๙
อนุชนรุ่นหลังควรสำนึกด้วยความกตัญญูกตเวทีต่อพระองค์ท่าน ที่ได้ทรงปกป้องประเทศชาติให้ดำรงความเป็นเอกราชอยู่ได้ตลอดมาจวบเท่าทุกวันนี้ และพึงถวายสักการะบูชาแด่พระองค์ท่านสืบไป”

หมายเหตุ
ภาพพิธีอัญเชิญพระบรมรูปฯจาก www.poosawan.org ภาพพระบรมรูปฯ รัชกาลที่ ๑
ได้จากการไปสักการะสิ่งศักดิ์ที่หุบผาสวรรค์ ตลอดระยะเวลา ๑๔ ปี ที่ผ่านมา

ถ้ำสาลิกา












เมื่อ พ.ศ.๒๓๗ พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งประเทศอินเดีย ได้ส่งพระธรรมทูตคณะหนึ่งมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแหลมสุวรรณภูมิ พระธรรมทูติคณะนี้มีพระมหาเถระ ๒ องค์ คือ พระโสณะ กับ พระอุตตระ














เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยคณะ มาทางเรือ เรือมาอับปางที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์คณะธรรมทูตจึงขึ้นเกวียนเดินทางต่อมา โดยอาศัยทิวเขาเป็นที่สังเกต มาตามทิวเขาอีโก้ เขาคีรีวงในเขตบางเค็มจังหวัดเพชรบุรีในปัจจุบัน ผ่านไพรสะเดาซึ่งเดิมเป็นทางเกวียนใหญ่สำหรับติดต่อกับภาคใต้












ในที่สุดคณะธรรมทูตได้มาพักอยู่ที่ถ้ำสาลิกา ในเทือกเขาเสือหมอบ พระมหาเถระกับคณะ ได้ขึ้นไปบนยอดเขาเสือหมอบ เพื่อมองหาสถานที่สำหรับเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ก็มองเห็นหมู่บ้านคูบัว ท่านจึงเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ บ้านคูบัวดังปรากฏร่องรอยสิ่งปรักหักพังอยู่จนปัจจุบันนี้








เทือกเขาเสือหมอบมีถ้ำสาลิกาเป็นถ้ำสำคัญคณะสานุศิษย์มีความเคารพบูชาองค์พระโพธิสัตว์ สมเด็จพระสังฆราชคูรูปาจารย์ ( หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด )



ภาพถ้ำสาลิกาในอดีต

จึงสร้างองค์สมมติของท่านประดิษฐานไว้ในถ้ำสาลิกา โดยจัดแต่งถ้ำให้เรียบร้อย สะดวกแก่ผู้ที่จะเข้าไปนมัสการ แต่ก็พยายามคงสภาพธรรมชาติไว้










ตรงผนังถ้ำสาลิกาด้านนึงจะปรากฏ ร่องรอยคล้ายรอยพระบาทสองข้างด้วย


วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๑๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. เปิดงานฉลององค์สมมติ ศาสตราจารย์ ดร. คลุ้ม วัชโรบล เป็นประธานเปิดงาน อ.สุชาติ โกศลกิติวงศ์ เป็นประธานประสานงาน




พระราชญาณดิลกเจ้าอาวาสวัดเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำพิธีเบิกพระเนตรองค์สมมติ งานนี้มีลิเกและภาพยนต์สมโภช ๓ วัน ๓ คืน


ถ้ำสิงห์มงคล





ภาพในอดีต ถ้ำสิงห์มงคลเป็นถ้ำที่ทำพิธีลงพลังจิตผ้ายันต์พิทักษ์เอกราช ที่ท่าน อ.สุชาติ โกศลกิติวงศ์ นำไปแจกแก่ทหารในจังหวัดต่างๆ ที่ต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์ที่กำลังแผ่อิทธิพลเข้ามาในประเทศไทย





บำรุงขวัญยุทธภูมิเขาค้อ
ปี พ.ศ. ๒๕๑๗







สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ทำพิธีเจิมองค์สมมติสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ถ้ำถ้ำสิงห์มงคลบุญบำรุง หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา






ภาพบริเวณหน้าถ้ำสิงห์มงคล
ในปัจจุบัน









   บริเวณด้านหน้าถ้ำสิงห์มงคล จะมีพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา 








ปางปฐมเทศนา เป็นพระพุทธรูปลักษณะประทับ (นั่ง) ขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ซ้ายทำประคองพระหัตถ์ขวา วางบนพระเพลา (ตัก) หรือถือชายจีวร พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ (อก) จีบนิ้วพระหัตถ์ เป็นเครื่องหมายว่าพระธรรมจักร 









   มีเครื่องประกอบทำเป็นรูปวงล้อ (ธรรมจักร) กับรูปกวางไว้ตรงพุทธบัลลังก์ และบางทีมีปัญจวัคคีย์พนมมือด้วย (พระพุทธรูปปางนี้ที่ไทยเราเอามาสมมุติเรียกว่า พระคันธารราฐสำหรับขอฝน)

ถ้ำไทร








ปัจจุบัน หลังจากที่หุบผาสวรรค์เมืองศาสนาถูกปิด สถานที่แห่งนี้ถูกจัดตั้งเป็น พระสถาบันสังฆาธิการ เป็นที่อบรมพระสงฆ์ทั่วประเทศ














ภาพในอดีต ตรงกำแพงด้านหน้าประตูทางเข้าหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา จะมีพระเสาร์ทรงเสือประดิษฐานอยู่




______________________________________________________








3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ16.1.65

    สาธุครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ16.1.65

    สาธุๆๆๆคร้าบ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ19.1.65

    สาธุๆๆๆ..กว่าจะเป็นหุบผาสวรรค์ศูนย์รวมศาสนายิ่งใหญ่มากๆคร้าบ

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยม